วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Travellin' light ไปเวียดนาม - นครสวรรค์บ้านเก่า

นอกจากสกลนคร อุตรดิตถ์ และชลบุรี จังหวัดที่เคยไปอยู่อาศัยแล้ว นครสวรรค์ก็ถือได้ว่าเป็นบ้านอีกหลังหนึ่ง เพราะผมเคยเล่นเปียโนและแอคคอร์เดียนอยู่ที่โรงแรมพิมานนานนับปี ช่วงนั้นเมืองสี่แควยังไม่เจริญ สถานีขนส่งมีแห่งเดียวอยู่ใกล้กับโรงแรมพิมาน ห้างสรรพสินค้าใหญ่ก็เพิ่งจะมีห้างแม็คโครไปเปิดอยู่ใกล้ ๆ ท่าข้าวกำนันทรง ถนนหนทางไปสถานีรถไฟหรือไปบึงบอระเพ็ดยังคงเป็นแค่ถนนราดยางเส้นแคบ ๆ 


เมื่อก้าวจากรถไฟลงสู่ชานชาลาสถานีนครสวรรค์  ผมมีความรู้สึกคล้ายกับได้มาเยือนบ้านเก่าอีกครั้ง  อบอุ่น ปลอดภัย และไร้กังวล!

เคยมาต่อรถไฟที่นี่แล้ว ตอนนั้นกลับจากทริป "Freight train to Singapore" ผมนั่งรถไฟฟรีจากหัวลำโพงมาลงนครสวรรค์ เช่าห้องพักนอน ๑ คืนเพื่อรอขึ้นรถไฟฟรีกลับเชียงใหม่ตอนเช้ามืด! วันนี้รอขึ้นรถเร็วขบวน 108 (เด่นชัย-กรุงเทพ) ไปลงสถานีดอนเมือง  กำหนดรถเข้าคือ ๐๐.๓๓ น. ถึงดอนเมืองเวลา ๐๔.๑๐ น. ผมต้องรออยู่ที่นี่เกือบ ๔ ชั่วโมง!

ท้องเริ่มหิว! ผมยังติดใจรสมือของ "เฮียโก๊ะ" อาหารตามสั่งหน้าสถานีรถไฟนครสวรรค์อยู่ไม่คลาย แค่ก้าวออกจากสถานีก็น้ำลายสอแล้ว!  แต่ยังก่อน ๆ  (เลียนแบบคำพูดของแม็คซิมัสในหนังเรื่อง Gladiator) ขอเดินออกกำลังขา(เส้นสีเหลือง)ไปตามถนนคอนกรีต ๔ เลนซึ่งมาแทนถนนราดยางในอดีตหน่อย  ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด ผมเห็นร้าน  7-11 ซึ่งตั้งอยู่ตรงหัวมุมมีลูกค้าเดินเข้าออกแทบไม่ขาดสาย...


๒ ทุ่มได้เวลาไปหาเฮียโก๊ะ...


ปลาผัดกระเพราราดข้าวพร้อมไข่ดาว ๑ ฟอง (๔๐ บาท) อร่อยมั่ก ๆ


ตอนเอาเงินไปจ่าย เฮียโก๊ะถามว่าจะไปไหนเมื่อเห็นเป้ใบเล็กของผม พอได้ยินว่าจะไปเวียดนาม พ่อครัวกระทะเหล็กอยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าจะไปได้อย่างไร ผมอธิบายว่าต้องขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองไปลงฮานอยโน่น...

อิ่มท้องแล้ว ผมเดินข้ามถนนไปยังร้าน 7-11 ซื้อน้ำดื่มขวดและขนมปังติดมือไปเป็นเสบียงด้วย...


จากนั้นก็เดินกลับไปยังสถานีรถไฟ นั่งเขียนไปรษณียบัตร ๒ ฉบับ หย่อนลงตู้ ส่งไปให้คุณเมธีและคุณหมอพรเทพ...


เห็นเครื่องชั่ง ผมอดไม่ได้ที่จะเอาเป้ขึ้นชั่ง ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าแค่ ๖ กิโล!


เค้ายังไม่เปิดจำหน่ายตั๋ว ผมเดินข้ามทางรถไฟ ไปยังชานชาลาซึ่งอยู่ตรงกลาง...


เห็นม้ายาวสำหรับผู้โดยสาร ผมยังสงกะสัยอยู่ว่าหน้าแคบอย่างนั้นจะอาศัยนอนได้รึ?


ได้หรือไม่ได้ก็ขอนอนก่อนล่ะ หุหุ อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่ารถไฟจะมา...


ผมสะดุ้งตื่นทุกครั้งที่มีขบวนรถขาขึ้นวิ่งเข้าเทียบชานชาลา มีทั้งรถด่วนและรถด่วนพิเศษที่มีตู้นอนและตู้ปรับอากาศ!!


อย่างเนี้ยหรือเปล่าที่เค้าเรียกว่า "สปรินเทอร์"?  <em> (ชีวิตนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้ขึ้น อิอิ) </em>


หลับ ๆ ตื่น ๆ นอนรอไปเรื่อย ๆ จนถึงเที่ยงคืนเมื่อห้องขายตั๋วเปิด ผมล้างหน้าด้วยน้ำในขวด สลัดความมึนงง แต่งตัวให้เข้าที่แล้วแบกเป้เดินข้ามทางรถไฟไปยังห้องจำหน่ายตั๋ว  รถไฟขบวน 108 ไม่ฟรี แต่ก็ได้ลดในฐานะที่อยู่ดูโลกมาเกิน ๖๐ ปี ค่าโดยสารชั้น ๓ (นครสวรรค์-ดอนเมือง) จาก ๙๔ บาทเหลือ ๗๕ บาท ซื้อตั๋วได้แล้วผมก็ไปนั่งรอที่ชานชาลา

๐๐.๔๕ น. ขบวนรถเร็ว 108 เข้าเทียบ ผมโหนตัวขึ้นรถอย่างคล่องแคล่ว พอดีมีที่นั่งว่างเยอะ ผมเลือกนั่งคนเดียว เหยียดแข้งเหยียดขาได้สบาย พอรถเคลื่อนออก... ผมก็ปรับสวิชสมองไปอยู่ในโหมด "Sleep" ไม่นานนักก็หลับสนิท...


สะดุ้งตื่นเมื่อรถเข้าจอดสถานีป่าหวาย ผมเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วนั่งรับลมไปเรื่อย ๆ  ยังคงหลับ ๆ ตื่น ๆ ตอนเข้าอยุธยา  มาตื่นอีกทีเมื่อถึงรังสิต ผมเตรียมตัวลง...

เห็นสนามบินดอนเมืองทางด้านซ้าย ผมยกเป้ขึ้นหลัง ตรวจสอบว่าไม่หลงลืมอะไรไว้บนเบาะแล้วเดินไปที่ประตู...


รถจอดที่สถานีดอนเมือง ผมลงทางด้านซ้าย แล้วเดินตรงไปขึ้นสะพานลอยซึ่งเชื่อมต่อไปยังสนามบิน...


ค่อนข้างจะชำนาญเส้นทางนี้... ผมก้าวเดินด้วยความมั่นใจ



ในที่สุดก็ถึงปลายทาง ทางด้านซ้ายเป็นลิฟท์ ด้านขวาเป็นบันได ผมเลือกด้านซ้าย เดินเข้าลิฟท์แล้วกดปุ่ม 3


ประตูปิด... ลิฟท์พาผมขึ้นไปยังอาคารผู้โดยสาร ผมเดินผ่านกระดานไม้แผ่นที่ ๓ มาแล้ว!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น