วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Travellin’ light ไปพม่า – เมืองที่ควรอยู่นานกว่านี้

วันที่ ๒๕-๒๖ มิถุนายน ผมได้เขียนถึงการไปงานบวชลูกแก้วที่ Pakokku  คำพูดของ Gyi Gyi ที่บอกกับผมว่า "eat first" ยังคงก้องอยู่ในความทรงจำ  หลังจากจบ FB Trip ไปอุตรดิตถ์แล้ว ผมขอกลับมาเขียนเรื่อง "Travellin' light ไปพม่า" ต่อ การเดินทางนาน ๒ สัปดาห์เพิ่งเขียนไปได้แค่ ๑ ใน ๓ เอง ผมยังคงมีเรื่องน่าสนใจและรูปภาพอีกไม่น้อยที่ผมอยากนำมาโพสต์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน!

สำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังวางแผนที่จะแบกเป้ไปเที่ยวพม่า หากมีข่าวว่าประเทศพม่าได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลังจากเปิดประตูกว้างต้อนรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน เป็นผลให้งบประมาณในการเดินทางอาจต้องเพิ่มขึ้น บางท่านอาจคิดเลยไปถึงเรื่องความปลอดภัยในการเดินทาง และโอกาสที่จะได้เห็นประเทศพม่าอย่างที่เคยเป็นในอดีต  ผมจึงอยากจะบอกไว้ตรงนี้ว่า พม่ายังคงเป็นประเทศที่น่าไปเยือนเป็นอย่างยิ่ง แม้การเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ส่งผลให้ค่าโรงแรม ค่าอาหารการกิน และค่าโดยสารแพงขึ้น  แต่ถ้าเพื่อน ๆ ปรับตัวให้สามารถพักได้ในที่ ๆ ไม่ต้องหรู กินอย่างที่ชาวบ้านเค้ากิน และเดินทางร่วมไปกับคนพม่า ค่าใช้จ่ายก็คงไม่สูงกว่าเดิมมากนัก ในขณะที่ความปลอดภัยยังอยู่ในระดับสูง และภาพของพม่าอย่างที่เคยเป็นไปในอดีตยังมีให้เห็นโดยทั่วไป...

อย่างเช่นใน Pakokku ที่ผมกลับมาเยือนอีกครั้ง หลังจากผ่านไป ๓๑ ปี  แม้ว่าจะมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำอิรวดีซึ่งยาวที่สุดในประเทศพม่า มีรถบัสขนาดใหญ่พานักท่องเที่ยวมาเยือนเพิ่มขึ้น มีเรือโดยสาร(คล้ายเรือสำราญซึ่งลงทุนโดยคนจีน)พาผู้โดยสารมาจากมัณฑะเลย์ทุกวัน เกิดโรงแรมหรูผุดขึ้นหลายแห่ง แต่ในส่วนที่เป็นบ้านเรือนหรือวัดวาอารามซึ่งผมเคยเห็น ก็ยังคงเหมือนเดิม เพื่อน ๆ จะเห็นได้จากรูปถ่ายที่ผมเคยนำมาโพสต์ไว้

ที่นี่เพื่อน ๆ สามารถถือกล้องถ่ายรูปเดินเที่ยวชมไปได้ทั่ว ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตามติดหรือตามตื้อ วัดวาอารามนั้นเปิดกว้างเสมอ ขอเพียงถอดรองเท้าในจุดที่ควรถอด และพยายามถ่ายภาพในขอบเขตที่ไม่ไปรบกวนความเป็นส่วนตัวของคนอื่นเท่านั้น

วันที่  ๗ เมษายน ๒๕๕๗ หลังจากได้ไปเดินเที่ยวตามลำพังในตอนเช้า  สาย ๆ ออกไปงานบวชลูกแก้วกับ Gyi Gyi   ผมขอใช้เวลาในช่วงบ่ายให้คุ้มค่าด้วยการเดินเที่ยวให้ทั่ว ที่ไหนมีเจดีย์ มีวัด หรือสิ่งที่น่าสนใจ ผมก็ไม่รอรีที่จะก้าวไปหา  รู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกันที่มีเวลาอยู่ที่นี่ได้เพียง ๒ คืน จริง ๆ แล้วผมควรอยู่ให้นานกว่านี้ จะได้สัมผัสพม่าในลักษณะ unspoiled ได้มากกว่านี้....

ผมขอนำภาพวัดและเจดีย์ที่ได้บันทึกไว้มาให้เพื่อน ๆ ดูดังนี้....
















นี่แค่เพียงวัดเดียวนะ  เดี๋ยวผมจะพาไปชมต่อ....



ผมรู้สึกแปลกใจที่ในวัดพม่าไม่เคยเจอสุนัขดุ  เห็นมันนอนอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ลุกขึ้นมาเห่าหรือไล่งับน่อง!

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

FB Trip ไปอุตรดิตถ์ - ปิดฉาก

ผมปั่นจักรยานถึงหนองพระแล ขณะที่เมฆฝนจับตัวหนาทึบน่ากลัว...



ยังมีกะใจพาเจ้า Coyote เข้าไปโชว์ตัวอยู่หรือเนี่ย?



ขนาดนี้แล้ว ผู้คนก็ยังไม่เห็นหนีไปไหน...





ลั่นชัตเตอร์ได้อีก ๒-๓ shot ฝนก็เทลงมา!   ผมรีบปั่นจักรยานฝ่าสายฝนไปแวะหลบอยู่ใต้ชายคาร้านค้าซึ่งอยู่ใกล้กับทางขึ้นวัดพระนอนพุทธไสยาสน์ ต้องยืนรอขาแข็งอยู่เกือบชั่วโมง  ผมถ่ายภาพเจ้า Coyote ที่หน้าป้ายเมื่อฝนซา...


ผมเดินขึ้นบันไดนาคไปจนถึงข้างบน ก่อนที่จะกลับลงมาคว้าเจ้า Coyote ปั่นกลับที่พัก สิ้นสุดการผจญภัยบนอานจักรยานพับด้วยความเมื่อยล้าเปียกปอน...



เช้าวันรุ่งขึ้น จากสถานีอุตรดิตถ์... ผมเดินทางกลับห้างฉัตรด้วยรถไฟฟรีขบวน 407





เตรียมตัวลงที่สถานีห้างฉัตร...


พอรถจอดสนิท ไฟเขียวออก ก็ให้กดสวิทช์เปิดประตู...


ลงจากรถดีเซลรางที่เห็น...


วางกระเป๋าใส่จักรยานไว้ที่ชานชาลาเพื่อถ่ายภาพอีก ๑ บาน...


นำข้าวของไปที่ม้าหิน เพื่อประกอบรถจักรยานขี่กลับบ้าน...


ไปร้านอาหารลำแต้ก่อน เพื่อนำมะไฟ พริกขี้หนู และมะนาวไปให้


จากนั้นก็กลับเข้าบ้าน...


สิ้นสุดทริป ๓ วัน ๒ คืนที่ได้ใช้เงินไปทั้งสิ้น ๑๐๐ บาท เที่ยวนี้ผมอยู่ฟรีกินฟรี...ได้เที่ยวระลึกถึงอดีตสมความตั้งใจทุกประการ!

ขอปิดฉาก "FB Trip ไปอุตรดิตถ์" แต่เพียงแค่นี้ครับ!

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

FB Trip ไปอุตรดิตถ์ – มุ่งหน้ากลับบ้าน

ป้ายบอกระยะทางไปอุตรดิตถ์อีก ๒๐ กิโลเมตร... เจ้า Coyote บอกว่าสบายมาก ทั้ง ๆ ที่สุขภาพไม่สมบูรณ์นัก!  


ระหว่างเดินทางกลับ ผมก็แวะหากำไรไปเรื่อย ๆ  "วัดม่อนปรางค์" ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือก็น่าสนใจ!



ปั่นจักรยานจนถึงหลักเขตห้ามพูดโกหก...


ณ บริเวณสี่แยกตลาดลับแล เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ...




พระศรีพนมมาศ เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๔ เดิมชื่อ "นายทองอิน" เป็นนายอากรสุราเชื้อสายจีน ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองลับแล ในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ นายทองอิน ซึ่งขณะนั้นมิได้รับราชการได้ชักชวนราษฎรทำถนนจากเมืองลับแลถึงบางโพ (ท่าอิฐ) เป็นระยะทาง ๖ กิโลเมตร รวมทั้งสร้างเหมืองฝายกั้นน้ำ โดยมิได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชการที่ ๕) เมื่อคราวเสด็จประพาสเมืองลับแลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงทราบ และพอพระราชหฤทัย จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น "ขุนพิศาลจีนะกิจ" พร้อมกับพระราชทานชื่อถนนสายนี้ว่า "ถนนอินใจมี" เพื่อเป็นเกียรติแก่ "นายทองอิน" ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น "หลวงศรีพนมมาศ" ผู้ว่าราชการเมืองลับแล จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้รับแต่งตั้งเป็น "พระศรีพนมมาศ" นายอำเภอเมืองพิชัย และได้รับพระราชทานยศเป็นอำมาตย์ตรี ตำแหน่งเกษตรมณฑลพิษณุโลก
ท่านเป็นผู้ริเริ่มวางโครงข่ายงานก่อสร้างถนนสำคัญหลายสายในอำเภอลับแล รวมทั้งการก่อสร้างฝายกั้นน้ำเพื่อการชลประทานกว่า ๓๐ แห่ง ส่งเสริมการศึกษาโดยจัดตั้งโรงเรียนส่วนตัวขึ้นเป็นแห่งแรกในอำเภอลับแล (ปัจจุบันคือโรงเรียนเทศบาลศรีพนมมาศพิทยากร) ส่งเสริมการเกษตรโดยฝึกสอนให้ราษฎรรู้จักปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนเป็นผู้ริเริ่มนำลางสาดและทุเรียนมาเผยแพร่ เริ่มฝึกสอนการทำไม้กวาดตองกง ผลงานของท่านก่อให้เกิดประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่ชาวลับแลมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านจึงได้รับการยกย่องเป็น "คนดีเมืองลับแล และนักปกครองตัวอย่างของกระทรวงมหาดไทย"
พระศรีพนมมาศ ถึงแก่กรรมด้วยโรคลม เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ รวมสิริอายุได้ ๖๐ ปี ชาวลับแลพร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ของท่าน ไว้ ณ สี่แยกตลาดลับแล เพื่อสดุดีและระลึกถึงคุณงามความดีของท่านสืบไป



ไปต่ออีกไม่ไกลก็เห็น "วัดเสาหิน" หรือ "วัดฝายหิน" อยู่ทางด้านซ้ายมือ...





ขี่จักรยานจากวัดเสาหินไปตามทางหลวงหมายเลข 1041 ได้พักใหญ่ ๆ  พบเส้นทางเข้าไปยังวัดนาทะเลอยู่ทางขวามือ... ผมหักเลี้ยวเข้าไป!



จวน ๕ โมงเย็นแล้ว!  ผมกลับมาตั้งลำบนทางหลวงหมายเลข 1041  มั่นใจว่าถ้าขี่ตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะถึงวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ในขณะที่บนท้องฟ้าเมฆฝนมืดดำกำลังก่อตัวอย่างน่ากลัว

ผมเพิ่มแรงถีบจักรยานฝ่าลมพายุที่พัดแรงขึ้น เย็นวันนี้คงไม่พ้นต้องเปียกฝนอย่างแน่นอน!