วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วัดเหมืองง่า ลำพูน

วัดเหมืองง่าเป็นวัดเก่าอีกวัดหนึ่งของจังหวัดลำพูน สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕...


บนถนนเชียงใหม่-ลำพูน  ถ้ามาจากเชียงใหม่...วัดเหมืองง่าจะอยู่ทางด้านขวามือ วัดนี้มีซุ้มประตูโขงพองาม...ไม่ใหญ่โตนัก!


เดิมชื่อว่า "วัดนางเหลียว" (เนื่องจากพระพักตร์ของพระประธานงดงามมาก ใครผ่านไปก็ต้องเหลียวดู) ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดเหมืองง่า" ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒  อุโบสถหลังใหญ่ซึ่งอยู่ด้านหน้าสร้างเสร็จเมื่อปี ๒๕๓๑...








ของเก่าจริงคือพระวิหารและพระธาตุเจดีย์ซึ่งอยู่ด้านข้าง ระบบฐานข้อมูลวัด กล่าวว่า "หลักฐานที่สามารถอ้างอิงได้ว่าวัดเหมืองง่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ไทอย่างหลากหลาย คือพระธาตุเจดีย์ ที่งานศิลปกรรมปรากฏรูปแบบทั้งคติความเชื่อแบบล้านนา รูปทรงและลวดลายที่ปรากฏเป็นลักษณะเฉพาะของไทใหญ่หรือเงี้ยวมีความผสมผสานกันอยู่ไม่น้อย..."  ผมนำภาพมาให้เพื่อน ๆ ได้ดูแล้วครับ...






หอธรรมงามวิจิตร...







ศาลาการเปรียญสร้างใหม่ ดูยังไม่เสร็จสมบูรณ์...




มาวัดนี้...ผมรู้สึกเสียวน่องเป็นที่ซู้ดดดด!!!

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วัดแสนหลวง

"วัดแสนหลวง" เป็นวัดเก่าวัดแก่ ตั้งอยู่ในตำบลยางเนิ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ บนถนนสายเชียงใหม่-ลำพูน ที่มีต้นยางเรียงรายอยู่สองข้างทาง....


จากเชียงใหม่ ถ้าเพื่อน ๆ ขับรถผ่านที่ทำการอำเภอสารภีไปอีกเล็กน้อย ก็จะเห็นวัดแสนหลวงอยู่ทางด้านซ้ายมือ...


วัดแสนหลวงสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๘ (ในสมัยพระเจ้ากาวิละ)  ถึงวันนี้ก็มีอายุกว่า ๒๐๐ ปี เป็นวัดมหานิกาย มีเนื้อที่ ๕ ไร่ ๓ งาน ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๑  เว็บของเทศบาลตำบลยางเนิ้ง ได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของวัดแสนหลวงไว้ค่อนข้างละเอียดดังนี้...
ในรัชสมัยของพระเจ้าเมกุฏิวิสุทธิวงศ์ แห่งราชวงศ์เม็งราย องค์ที่ ๒๐ ได้เสียเมืองเชียงใหม่ให้แก่พม่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๐๒ และพระองค์ก็ได้ถูกจับตัวไปยังกรุงอังวะ นับจากนั้นล้านนาไทยก็อยู่ใต้อำนาจของพม่านานถึง ๒๑๖ ปี ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๗ พญาจ่าบ้าน (บุญมา) ซึ่งเป็นน้าของพระเจ้ากาวิละ ได้ร่วมกับพระเจ้ากาวิละนำทัพของพระเจ้าตากสินมหาราชเข้าตีเมืองเชียงใหม่ขับไล่พม่าออกไป แต่ก็หาความผาสุกไม่ได้เนื่องจากยังถูกพม่ายกทัพมารบกวนอยู่เสมอ ซ้ำร้ายยังขาดแคลนอาหารด้วย จึงอพยพผู้คนถอยร่นจากเมืองเชียงใหม่มาตั้งรับข้าศึกอยู่ที่ “เวียงหวาก” ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอสารภี จากนั้นจึงปรึกษาหารือกันและเห็นชอบว่าควรจะสร้างวัดขึ้นสักวัดหนึ่งเพื่อไว้บำเพ็ญกุศลของข้าราชการในราชสำนักและไพร่ฟ้าประชากร โดยมอบหมายให้พญาแสนหลวงเป็นสล่า (นายช่าง) ได้มีการออกแบบก่อสร้างวัดในปี พ.ศ. ๒๓๓๘ ตรงกับเดือน ๖ เหนือ ออก ๑๕ ค่ำ ยามใกล้รุ่ง ซึ่งอาราธนามหาเถรเจ้าจ่อคำต๊ะโรเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ พญาแสนหลวงเป็นหัวหน้าฝ่ายฆารวาส การก่อสร้างดำเนินงานไปเกือบจะเสร็จ ทางสล่าอยากได้เตียงไว้ในกุฏิให้พระสงฆ์ไว้นอน และอยากจะได้เตียงถวายเจ้าเหนือหัวด้วย จึงได้พากันไปตัดต้นยางต้นหนึ่งซึ่งในตำนานกล่าวว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ขนาดสามคนโอบ มีลำต้นเอนไปทางทิศตะวันออก พอคณะช่างไปถึงต้นยางใหญ่ สล่าผู้เป็นหัวหน้าก็ยกขวานฟันลงที่ต้นยางนั้น ขณะนั้นเองก็เกิดอาเพศขึ้น ต้นยางใหญ่ต้นนั้นเกิดอาการสั่นสะเทือน และมีเสียงครางฮือๆ เหมือนได้รับความเจ็บปวดอย่างสาหัส พวกสล่าต่างพากันทิ้งเครื่องมือและหนีไปคนละทิศละทาง พญาแสนหลวงจึงสั่งให้ลูกน้องนำข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียน เหล้าไห ไก่คู่ หมากเมี่ยง พูล ยา มาตั้งศาลเพียงตาทำพิธีบวงสรวง เสร็จแล้วจึงตัดต้นยางนั้นต่อ การก่อสร้างดำเนินงานจนเสร็จ และไม่นานนักพญาแสนหลวงก็ถึงแก่อนิจกรรมลงและอีกเพียง ๓ วัน มหาเถรเจ้าจ่อคำต๊ะโรก็ถึงแก่มรณกรรม พระเจ้ากาวิละจึงได้ให้สล่าทำหอ (ศาล) ไว้ ๒ หอ คือหอคำซึ่งสร้างไว้ที่หลังพระวิหาร (ต่อมาหอคำหลังนี้ได้หายสาบสูญไป) ส่วนอีกหอหนึ่งคือ หอพญาแสนหลวงซึ่งสร้างไว้ที่มุมกำแพงวัดด้านเหนือ คือริมศาลาบาตรใต้ต้นโพธิ์ พระเจ้ากาวิละและพญาจ่าบ้านจึงได้กรุณาโปรดให้ตั้งชื่อวัดนี้ว่า “วัดแสนหลวง” เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้แก่พญาแสนหลวง ผู้ออกแบบและดำเนินงานก่อสร้างวัดนี้ ส่วนศาลพญาแสนหลวงนั้นต่อมาได้นามว่า “ศาลเจ้าพ่อแสนหลวง” เพื่อเป็นที่สักการบูชาของประชาชน
แต่เดิมวัดนี้ไม่มีเจดีย์ ปัจจุบันนี้ได้สร้างพระเจดีย์เสร็จแล้ว....งดงามมาก!!























เพื่อน ๆ ผ่านไปอำเภอสารภี อย่าลืมแวะวัดแสนหลวงนะครับ!

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วัดสันป่าเลียง เชียงใหม่

คำว่า "สัน" หมายถึง "ที่เนินเป็นทางยาวอยู่ระหว่างพื้นที่อยู่อาศัยกับพื้นที่ใช้ทำประโยชน์  ในเชียงใหม่มีหลายหมู่บ้านที่ใช้คำนำหน้าว่าสัน เช่น สันทราย สันผีเสื้อ สันพระเนตร ฯลฯ และที่ผมอยากเขียนถึงในวันนี้ก็คือ "วัดสันป่าเลียง" 


เว็บวัดสันป่าเลียงเขียนเล่าว่า...
ท่านครูบาธรรมธิ ได้เดินธุดงค์หาที่ปลีกวิเวกเพื่อปฏิบัติธรรม จนมาถึงสถานที่ซึ่งเป็นป่าทึบ และมีความสงบร่มรื่น ท่านครูบาเห็นว่าเป็นที่สัปปายะ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม จึงปักกลดจำพรรษา ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ได้พากันมาทำบุญฟังธรรม และเกิดความเลื่อมใส จึงร่วมใจกันสร้างกุฏิ เพื่อให้เป็นที่พักอาศัยของท่านครูบา แล้วอาราธนาให้ท่านสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางรวมจิตใจของชาวบ้าน และเรียกวัดแห่งนี้ว่า "วัดสามปอเลียง" เนื่องจากมีต้นปอใหญ่ ๓ ต้นขึ้นเรียงกันอยู่บนสันนาในบริเวณที่สร้างวัด ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดสันปอเลียง" แล้วเรียกชื่อเพี้ยนเป็น "วัดสันป่าเลียง" มาจนถึงปัจจุบัน
วัดสันป่าเลียงเป็นวัดมหานิกาย ตั้งอยู่หมู่ ๔ ตำบลหนองหอย จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ ๒ ไร่ ๓ งาน ๖๙ ตารางวา ได้รับอนุญาตตั้งเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙  เราเข้าไปดูกันดีกว่า สิ่งแรกที่ผมประทับใจคือซุ้มประตูซึ่งมิได้อลังการเหมือนกับหลาย ๆ วัดที่ได้เห็น...


ตั้งเด่นเป็นสง่าคือ "หอธรรม" รูปแบบศิลปะสถาปัตยกรรมพื้นบ้านล้านนา ใช้เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฏกและเอกสารสำคัญในทางพระพุทธศาสนา...


แต่เดิมผนังด้านนอกของหอธรรมเป็นงานเขียนสีฝุ่นผสมน้ำ ภาพเทพบุตร เทพธิดา ภาพ 12 ราศี ซึ่งชำรุดทรุดโทรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์หอธรรมหลังนี้ขึ้นใหม่ โดยรักษาโครงสร้างและศิลปะสถาปัตยกรรมตามแบบเดิมไว้ทุกประการ แต่เปลี่ยนจากภาพเขียนสีฝุ่นผสมน้ำเป็นภาพประติมากรรมปูนปั้นลงรักปิดทอง...




พระวิหารเก่าแก่กำลังอยู่ระหว่างการบูรณะฯ....







ที่อยู่ติดกันคือพระอุโบสถซึ่งมีเจดีย์อยู่ด้านหลัง...



ใบเสมากำหนดเขตสำหรับการทำสังฆกรรม...


ประตูปิดเช่นกัน...





ด้านหลังพระอุโบสถ...


ที่เห็นเป็นรูปแบบเหมือนกันแทบทุกวัดก็คือพระเจดีย์อยู่ด้านหลัง...




องค์นี้มีชื่อว่า "เจดีย์มหารัชมงคล"



หอระฆังที่นี่ไม่เหมือนใคร...


สุนัขที่เฝ้ากุฏิเจ้าอาวาสเป็นพันธุ์บางแก้ว ระวังหน่อยนะ!!