วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2561

FB Trip ไปมะละกา - เอาไงดี?

ปั่นจักรยานจากสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก (1) ไปประทับตราขาออกที่ด่านไทย (T)... ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-มาเลเซีย (B) แล้วประทับตราขาเข้าที่ด่านมาเลย์ (M) ผมใช้เวลาไม่นาน เรียบร้อยแล้วก็มาหยุดอยู่ตรงจุดเริ่มต้น (2) บนทางหลวงหมายเลข 3


จวนเที่ยงแล้วครับ ผมกับเจ้า Banian มาหยุดตั้งหลัก (7) ตรงทางเข้าสถานีขนส่งรันเตาปันจัง (Stesen Bas & Teksi Rantau Panjang) (ฺBS)


ข้างหน้าผมมองเห็นป้ายบอกระยะทางไปเมือง Pasir Mas 22 กิโลเมตร และ Kota Bharu 40 กิโลเมตร ถัดไปเป็นปั้มน้ำมันปิโตนาส (PTN) ส่วนด้านขวามือมีอีก ๑ ปั้มเป็นของคาลเท็กซ์


ถึงจุดนี้ (2) ผมต้องตัดสินใจว่าจะไปไหนดี เคยคิดจะไปพักในโกตาบารู (5) ซักคืน แล้วค่อยขึ้นรถไฟที่สถานี Wakaf Bharu ไป Gemas....


หรือไม่ก็เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 196 ระยะทางประมาณ ๒๖ กิโลเมตรไปขอพักค้างคืนที่วัดโพธิวิหาร (3)  ใจหนึ่งผมก็อยากปั่นจักรยานจากโกตาบารูไปตามเส้นทางเลียบชายฝั่งตะวันออก (east coast) แบบค่อยเป็นค่อยไป อีกใจนึงก็คิดว่าน่าจะเอาจักรยานขึ้นรถไฟไปลงที่ Gemas แล้วค่อยขี่ไปมะละกาเพื่อลงเรือข้ามไปเกาะสุมาตราเหนือของอินโดนีเซีย...


เมืองโกตาบารูนั้นเคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง (ตั้งแต่ปี ๒๕๓๑) จริง ๆ แล้วผมก็ไม่อยากจะไปอีก รู้ว่ามีสถานีรถไฟอยู่ที่ Pasir Mas (4) ซึ่งสามารถขึ้นรถไฟเที่ยวกลางคืน (night train) ไปลงที่ Gemas ได้ เพิ่งเที่ยงวันเอง ถ้าผมปั่น ๒๒ กิโลเมตรไป Pasir Mas (4) ก็คงทันขึ้นรถไฟเที่ยวดังกล่าว หากเป็นเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ตอนเย็น ๆ ผมก็น่าจะได้ไปยืนอยู่ในมะละกา!  คิดเช่นนั้นแล้ว..ผมก็เริ่มปั่นออกไปตามทางหลวงที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้าทันที!


เก็บเงินค่าที่พักในโกตาบารูไว้ซื้อตั๋วรถไฟไป Gemas น่าจะดีฝ่า! 

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

FB Trip ไปมะละกา - สะพานมิตรภาพไทย มาเลเซีย

ลงรถไฟที่ปลายทางสถานีสุไหงโก-ลก (1) เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๑ ผมมาพร้อมกับจักรยานพับ ตั้งใจว่าจะต้องเดินทางเข้ามาเลเซียให้เร็วที่สุด เพื่อให้มีเวลาที่จะ improvise เส้นทางเบื้องหน้า...


รู้จักเส้นทางค่อนข้างดี ผมปั่นจักรยานออกจากสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก (1) ผ่านตลาดสดด้านขวามือ ตรงไปยังด่านไทย (T) 

]

ครั้งล่าสุดคือเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๒ ตอนนี้เดินทางไปสิงคโปร์ ผมใช้กล้อง Olypus Myu 20 เก็บภาพไว้ได้บ้าง จึงอยากนำมาให้เพื่อน ๆ ดูอีกที...



ได้ถ่ายภาพห้องน้ำของสถานีสุไหงโก-ลกไว้ด้วยนะ...


รวมทั้งตู้ไปรษณีย์หน้าสถานีที่ได้หย่อนไปรษณียบัตรส่งให้คุณเมธีด้วยความไม่แน่ใจว่ามันจะถูกไขตามกำหนดเวลาหรือเปล่า?


ผมนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปลงที่ด่านไทย ประทับตราขาออกแล้วเดินข้ามสะพานตรงไปยังรันเตาปันจัง (Rantau Panjang) ของมาเลเซีย...  


เห็นสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโก-ลกทางด้านซ้ายมือ...


หันหลังกลับไปเก็บภาพทางด้านฝั่งไทย...


ทางฝั่งมาเลย์ ปี ๒๕๕๒...ตอนนั้นอาคารของกองตรวจคนเข้าเมืองรันเตาปันจัง (Kompleks Imigresen Rantau Panjang) ถูกสร้างใช้งานแล้ว มันตั้งตะหง่านขวางหน้าอยู่ ณ บริเวณซึ่งเคยเป็นแค่ถนนลาดยางที่ผมปั่นจักรยานผ่านเมื่อ ๓๐ ปีก่อน


ภาพด้านหลัง...






มาเลเซียเมื่อ ๙ ปีที่แล้ว จะเห็นถนนหนทางดีเยี่ยม มีที่นั่งรอรถโดยสารสร้างไว้อย่างสวยงาม


ครั้งนั้นไม่มีจักรยาน ผมต้องนั่งรถเมล์ไปโกตาบารู...


วันนี้ ๘ เมษายน ๒๕๖๑ มีจักรยาน...ผมปั่นผ่านด่านไทย (T) ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-มาเลเซีย (B) ตรงไปยังยังด่านมาเลย์ (M) โดยไม่ติดขัด


หยุดถ่ายภาพไว้หน่อย เห็นทั้งสะพานมิตรภาพฯ (B1) และสะพานรถไฟ (B2)  




หลังจาก "FB Trip ไปมะละกา"  ผมได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในมาเลเซียแล้วไม่แน่ใจว่าจะกลับมาข้ามสะพานแห่งนี้อีกหรือเปล่า?

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2561

FB Trip ไปมะละกา - รถเร็ว 171

ระยะทางบนรางเหล็กจากกรุงเทพฯ ถึงปลายทางสุไหงโก-ลก คือ ๑,๑๔๓ กิโลเมตร ขบวนรถเร็ว 171 ต้องใช้เวลาวิ่งเกือบ ๒๑ ชั่วโมง !


ความเร็วโดยเฉลี่ยประมาณ ๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรียกว่านั่งกันจนก้นชาเลยล่ะ! ค่าโดยสารของคนหนึ่งคนกับจักรยานหนึ่งคัน บนตู้นั่งชั้น ๓ ระบายความร้อนด้วยพัดลม ตกแค่กิโลเมตรละ ๑ สลึงโดยประมาณ อะไรมันจะถูกขนาดนั้น!


อย่างที่เคยบอก ช่วงเดินทางกลางวันที่มีแสงสว่างให้ได้เห็นทิวทัศน์สองข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟหรือรถยนต์ ผมจะไม่นั่งหลับ เพราะมีอะไรให้ดูตลอดทาง บางครั้งผมก็บันทึกภาพเก็บไว้ทั้งจากนอกและในตัวรถ...



แม้แต่โปสเตอร์โฆษณา "แม่เมาะฮาล์ฟมาราธอนครั้งที่ 26" ที่ติดอยู่ข้างหน้าก็น่าสนใจ เดินทางจากลำปางมาไกลนับพันกิโลเมตร...ผมก็ยังได้เห็นภาพกิจกรรมของจังหวัดที่ตัวเองอยู่


ผมคิดถึงคุณสุมิตรขึ้นมาทันที ในใจคิดว่าหนึ่งในจำนวนนักวิ่งที่เห็นในภาพ น่าจะมีคนหนึ่งซึ่งเป็นคุณสุมิตร...

ภาพจาก facebook ของเจ้าของภาพ

ตลอดเส้นทางผมไม่มีความง่วงเหงาหรือรู้สึกเบื่อเลย เก็บภาพไปเรื่อย รถไฟจอดที่ไหนนานหน่อย ก็กดชัตเตอร์มากขึ้น จนกระทั่งผ่านหัวหินเวลา ๕ โมงกว่า วิ่งต่อถึงประจวบคีรีขันธ์ท้องฟ้าก็เริ่มมืด ถึงเวลาหลับพักผ่อนแล้ว!  ผมมาตื่นเอาเช้าวันใหม่ พร้อมที่จะสนุกสนานกับการเดินทางอีกครั้งก็เมื่อถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ รถจอดอยู่นานทีเดียว จากนั้นก็วิ่งต่อจนถึงสถานีเทพาตอน ๘ โมงเช้า!



ผ่านปัตตานี ยะลา และรามัน...











ลืมบอกไปว่าพอเลยหาดใหญ่มา ก็มีทหารเดินเข้ามาขอตรวจสัมภาระและบัตรประชาชนของผู้โดยสาร ตาแก่เมืองรถม้าทำหน้าตาวางเฉยอยู่ใต้รถจักรยานพับ บุรุษชุดลายพรางพร้อมอาวุธปืน M16 คงไม่อยากจะส่งภาษาด้วย ก็เลยเดินผ่านไป พอเข้าเขต ๔ จังหวัดภาคใต้...บรรยากาศสองข้างทางเริ่มตึงเครียด!


ในที่สุดขบวนรถเร็ว 171 ก็เข้าเทียบชานชาลาสถานีรถไฟสุไหงโก-ลกด้วยความราบรื่น....


ผมรู้ดีว่าการผจญภัยเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ว!

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561

FB Trip ไปมะละกา - "พี่อย่าว่าผมนะ"

ทริปนี้วางแผนว่าจะเข้ามาเลเซียทางสุไหงโก-ลกอีกครั้ง เท่าที่พอจำได้...ผมเคยใช้เส้นทางนี้มา ๓ หรือ ๔ ครั้งไม่แน่ใจ


ทุกครั้งก็ต้องข้ามสะพานเชื่อมระหว่างด่านไทยและด่านมาเลเซีย เดินบ้าง นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างบ้าง แต่มีครั้งหนึ่งที่ปั่นจักรยานผ่าน คือเมื่อปี ๒๕๓๑ (หลังจากเดินทาง ๑ สัปดาห์มาจากสิงคโปร์) 


เดินทางด้วยรถเร็วขบวน 108 จากเด่นชัยถึงหัวลำโพงเกือบ ๖ โมงเช้า ผมเห็นผู้โดยสารยืนเข้าคิวรอซื้อตั๋วกันมากมาย รถเร็วขบวน 171 ไปสุไหงโก-ลกออกเวลาบ่ายโมงตรง ผมต้องซื้อตั๋วไว้ก่อน ค่าโดยสารชั้นสาม ๒๙๐ บาท (ช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน ผู้สูงอายุเหลือ ๒๐๐ บาท) ซื้อตั๋วได้แล้วก็ไปนั่งรอที่เก้าอี้ผู้โดยสารในห้องโถงด้านหน้า คนเยอะมากครับ อากาศก็ร้อนอบอ้าว จน ๘ โมงครึ่งทางสถานีถึงได้เปิดพัดลมไอเย็น แม้จะอีกตั้งหลายชั่วโมงผมก็รอได้ ไม่เคยรู้สึกว่ามันนานหรือน่าเบื่อ มีภาพชีวิตของผู้คนและนักเดินทางทั้งไทยและเทศให้ได้เห็น...


หยิบข้าวหลามที่ซื้อจากบนรถไฟออกมากิน นี่คืออาหารราคาประหยัดระหว่างการเดินทางของผม!


ชายคนนึงขยับเข้ามานั่งใกล้ ๆ ดูแล้วอายุอานามก็คงพอ ๆ กับผม แกคุยน้ำไหลไฟดับและสอดส่ายสายตาไปทั่ว ผมแสร้งนั่งหลับตา พยายามทำใจให้สงบ ไม่ได้ให้ความสนใจ! แต่แล้วก็ต้องติดกับ เมื่อถูกถามถึงเจ้า Banian จักรยานพับสีเขียวใบไม้ที่ตั้งไว้ข้างตัว พอได้คุยก็ยิ่งติดลม...ผมเริ่มหลงในคารมของชายที่อ้างว่าอยู่ภูเก็ตและกำลังรอขึ้นรถขบวนไหนจำไม่ได้  พอรู้ว่าผมกำลังจะขึ้นรถไฟไปสุไหงโก-ลก แกก็อาสาเดินไปดูให้แล้วกลับมาบอกว่ารถไฟจอดรออยู่แล้วที่ชานชาลา ผมขอบคุณแล้วเดินหิ้วจักรยานเข้าไปยังชานชาลาด้านใน  อ้าว! ร่ำลากันแล้วทำไมยังเดินตามมาอีก?  แปลกแท้ ๆ

นำจักรยานขึ้นเก็บล็อคไว้บนชั้นวางสัมภาระแล้ว... ผมลงไปนั่งรอข้างล่าง


เขายังคงตามมาคุยด้วย เรียกผมว่าพี่ บอกว่าสนใจเรื่องการเดินทางด้วยจักรยาน ถามโน่นถามนี่ คุยนานมากจนผมเริ่มอึดอัด แต่แล้วก็ลาจากไปในที่สุด หมดเรื่อง...ผมหลบขึ้นมานั่งบนรถไฟ รู้สึกสบายใจ แม้ว่าจะต้องรออีกเป็นชั่วโมงก็ตาม!

ประมาณเที่ยงเห็นจะได้ อยู่ ๆ ชายคนเดิมก็โผล่หน้าขึ้นมา พยักพเยิดให้ไปคุยด้วยตรงช่วงต่อโบกี้ ผมนึกไม่ถึงเหมือนกัน เมื่อได้ยินแกเอ่ยปากขอตังค์ บอกว่าไม่มีค่ารถกลับบ้าน 

อ้าว...เจออีกแล้วรึนี่?  ผมถามว่าขาดเท่าไหร่ คำตอบคือ "เป็นร้อย"  "โห! ไม่มีหรอก" ผมพึมพำในลำคอแล้วหันหลังกลับ ได้ยินเสียงตามมาว่า "เท่าไหร่ก็ได้"  ควานหาเหรียญในกระเป๋าคาดเอว รวบรวมได้เกือบ ๒๐บาท ผมหย่อนลงบนฝ่ามือที่ยื่นรับ ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินจากปากนักพูดลิงหลับคือ "พี่อย่าว่าผมนะ"

ผมไม่ว่าหรอก แต่ตำหนิตัวเองที่หลงคารมคนง่ายเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่เคยโดนหลอกมาหลายต่อหลายครั้ง สูญเงินไปก็มาก ทำไมถึงไม่เข็ดซะที!

ดีนะที่ไม่หลวมตัวไปมากกว่านี้!