วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

รถตู้หาดใหญ่-เบตง

Travellin' light ไป Bukit Lawang มีแผนว่าแวะเที่ยวอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ก่อนออกจากประเทศไทยไปเมืองบาริ่งของมาเลเซีย ผมจึงต้องศึกษาเส้นทางที่จะเดินทางไปยังเบตงไว้ก่อน จากการค้นหาในกูเกิ้ล ได่พบข่าวการสังหารหมู่ผู้โดยสารรถตู้เบตง-หาดใหญ่อย่างโหดเหี้ยมเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๐... 

    ภาพจาก http://wbns.oas.psu.ac.th
แม้เหตุเกิดมาได้ ๘ ปีแล้วก็ตาม แต่ความสยองขวัญก็ยังคงติดตามหลอกหลอนผู้ที่เดินทางไปมาระหว่างหาดใหญ่-เบตงอย่างไม่ต้องสงสัย ผมขออนุญาตย่อบทความ ซึ่งเป็นคำบอกเล่าของคนขับรถตู้ผู้เคราะห์ร้ายวัย ๔๐ ปีในวันนั้น จากเว็บ 94fmclub.net มาลงไว้ด้วยดังนี้...
....ออกจากคิวรถต้นทางในตัวเมืองเบตงพร้อมผู้โดยสาร ๑๑ คน ถึงอำเภอธารโต จังหวัดยะลา มีผู้โดยสายชายมุสลิมวัยกลางคนขอลงกลางทาง ระหว่างทางบรรยากาศภายในรถเป็นไปอย่างปกติ ประโยคสนทนาของผู้ดดยสารทำให้รู้ว่าในรถมีทั้งนักเรียนกำลังเตรียมตัวไปสอบ และแม่ที่กำลังเดินทางไปส่งบุตรสาวเรียนพิเศษที่หาดใหญ่ แม้กระทั่งคูีรักนั่งจู๋จี๋อย่างกระหนุงกระหนิง จนกระทั่งรถตู้แล่นถึงหลักกิโลเมตรที่ ๑๕-๑๗ บ้านอุเบง หมู่ ๔ อ.ยะหา จ.ยะลา ก็พบกับต้นไม้ขนาดใหญ่ขวางถนนอยู่ รู้ทันทีว่าสถานการณ์ร้ายได้เข้ามาใกล้ตัว จึงพยายามกลับหัวรถย้อนกลับ ทันใดนั้นก็เห็นหนุ่มวัยรุ่นสวมชุดเขียวยืนขวางอยู่เต็มถนน กระสุนชุดใหญ่สาดใส่รถประดุจห่าฝน เสียงตะโกนกรีดร้องภายในรถดังลั่น และไม่มีใครรู้ชะตาชีวิตตัวเอง กระสุนนัดแรกถากกกหูด้านซ้าย ขณะเดียวกันก็รู้สึกแน่นหน้าอก กระสุนชุดแรกจากคนร้ายทำให้รู้สึกสลึมสลือ รถเสียหลักไหลลงข้างทาง ในหูได้ยินเพียงคนร้องระงมขอความช่วยเหลือ ส่วนตัวเองแทบจะไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่ยังมีสติอยู่บ้าง พยายามประคองร่างเปิดประตูออกจากรถ คิดว่าไม่รอดแน่ เมื่อออกจากรถได้ก็ทิ้งร่างลงกับพื้น สวดมนต์ขอให้องค์อัลเลาะห์มารับไปอยู่บนสรวงสวรรค์ นอนสวดอยู่บนถนนเป็นเวลาประมาณ ๓-๕ นาที ไม่มีเสียงตอบจากผู้ก่อการร้าย นอกจากคำสั่งให้ปลิดชีพผู้โดยสารบนรถตู้ให้หมด "ยิงหัวให้หมดทุกคน"  เสียงกระสุนดังขึ้นแต่ละนัดพร้อมเสียงกรีดร้องโหยหวลของเหยื่อแต่ละคน....
ชายคนหนึ่งได้ร้องขอชีวิตจากคนร้าย แต่ไม่มีใครฟังก่อนลั่นกระสุนใส่บุตรสาววัย ๑๖ ปีที่กำลังเดินทางไปสอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา เช่นเดียวกับครูผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังที่ได้ตะโกนขอไห้ปล่อยบุตรสาวนักเรียนโรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ ที่กำลังเดินทางไปเรียนพิเศษที่อำเภอหาดใหญ่  ปฏิบัติการสุดโหดของกองกำลังไม่ทราบกลุ่มยุติลงเพียงเวลาไม่เกิน ๕ นาที ก่อนที่จะเคลื่อนออกจากจุดเกิดเหตุด้วยเท้าอย่างเงียบกริบ และไม่รู้เลยว่าแยกย้ายกันไปทางไหน...
ภาพเหตุการณ์ที่ได้อ่าน...ผมเคยเห็นแต่ในภาพยนต์ หรือไม่ก็เป็นข่าวจากประเทศอื่น ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเรา!!  ๓ เมษายน ๒๕๕๘ ผมตัดสินใจที่จะเดินทางจากหาดใหญ่ไปเบตงด้วยรถตู้...


 คิวอยู่ที่สถานีขนส่งหาดใหญ่...


สามารถโทรสอบถามและสำรองที่นั่งได้ตามเบอร์โทรศัพท์ที่เห็นในภาพ...


ค่าโดยสารคนละ ๒๓๐ บาท ผมเลือกเดินทางด้วยรถตู้เที่ยวสุดท้ายออกเวลา ๑๔.๐๐ น.......


ใช้เวลาร่วม ๕ ชั่วโมงวิ่งไปบนเส้นทางที่ต้องผ่านด่านตรวจ (check point) เป็นระยะ ๆ... ผ่านสองข้างทางที่มีภาพตลาดนัดและผู้คน



กว่าจะถึงเบตงก็มืด! แสงไฟในเมืองบอกให้รู้ว่าผมมาถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยแล้ว!

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

ตั๋วยืน (standee)

หลังจากแลกเงินที่เยาวราชได้อินโดนีเซียรูปีมาเป็นล้าน ผมเดินกลับไปยังสถานีรถไฟหัวลำโพงอย่างไม่เร่งรีบ คิดว่าเค้าคงเปิดให้รับตั๋วฟรีได้ตอนใกล้เที่ยง เมื่อเช้านี้ก่อนไปเยาวราชก็ได้เข้าไปติดต่อที่ช่องจำหน่ายตั๋วแล้วครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ รฟท. บอกว่ายังไม่ถึงเวลา


ผมเดินข้ามคลองผดุงกรุงเกษม หยุดถ่ายรูปไปเรื่อย



ถึงสถานีหัวลำโพงก่อน ๑๑ โมง ผมตรงไปที่ช่องจำหน่ายตั๋ว ยื่นบัตรประชาชนให้ แล้วขอตั๋วรถไฟฟรีไปลง "โก-ลก"  เจ้าหน้าที่สาวบอกว่าไม่มีที่นั่งแล้วนะ ก่อนที่จะส่งตั๋วยืน (standee) ให้!!


รับตั๋วมาแล้วแบกเป้ไปนั่งที่เก้าอี้สำหรับผู้โดยสาร ผมนึกตำหนิตัวเองที่ไม่จองตั๋วให้เรียบร้อยก่อนออกไปแลกเงิน นึกถึงคำว่า "ตั๋วยืน"...ผมหลับตาเห็นภาพตัวเองยืนหลับไปตลอดทางจนถึงยะลา คงไม่ไหว! ต้องลุกขึ้นเดินไปยังช่องเปลี่ยนตั๋ว (ช่องแรก) ยอมควักตังค์ขอเปลี่ยนตั๋วเป็นชั้น ๒ เจ้าหน้าที่หนุ่มแจ้งว่าเต็มหมดแล้วทุกที่นั่ง!!

โห...จากกรุงเทพถึงสุราษฎร์ฯ ใช้เวลาเกือบ ๑๒ ชั่วโมง แล้วยังต้องไปอีก ๘ ชั่วโมงกว่าจะถึงยะลา!


คงต้องตกกระไดพลอยโจนแล้วหละ ผมไม่มีทางเลือก คิดหาทางออกด้วยการนั่งบนพื้นไปจนถึงจุดหมาย...


ก่อนอื่นต้องหาที่เก็บเป้ให้ได้ก่อน ผมรีบเดินเข้าไปยังชานชาลาที่รถเร็วขบวน 171 จอดเทียบอยู่...


นำเป้ขึ้นวางไว้บนชั้นวางสัมภาระเหนือหัวบริเวณท้ายโบกี้ จากนั้นก็มองหาจุดที่จะนั่งไปบนพื้นโดยให้เสี่ยงภัยน้อยที่สุด!  ตรงบันไดนั่นแหละ...แต่ไม่ต้องหันหน้าออก ผมทดลองนั่งขัดสมาธิใช้หลังแนบผนัง หัวเข่ายันฝา คิดว่าน่าจะไม่ตกรถนะ!   .


ได้ที่แล้วก็ต้องลงไปนั่งรอที่ชานชาลาอีกเป็นชั่วโมง...


ในที่สุดรถก็ออก ผมนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ปักหมุดไว้ เจ้างูยักษ์เลื้อยออกจากสถานีหัวลำโพงช้า ๆ...


รถวิ่งไปได้ไกลโข ผมได้ยินเสียงแก๊บ ๆ ดังมาจากโบกี้ด้านหลัง รีบลุกขึ้นยืน รอให้เจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋ว นายตรวจคงจะเห็นว่าตั๋วของผมเป็น "ตั๋วยืน (standee)" เขาเจาะรูที่ตั๋วแล้วส่งคืน อีกพักใหญ่ก็กลับมาเรียกให้ผมเข้าไปนั่งภายในโบกี้ที่มีเบาะสำหรับนั่ง ๓ คนและนั่ง ๒ คนเรียงกัน พอดียังมีที่ว่าง ต้องให้เจ้าหน้าที่ไปบอกให้เขาขยับตัวแบ่งที่นั่งให้  แต่ก็ได้นั่งอยู่ไม่นาน เมื่อผู้โดยสารซึ่งเป็นเจ้าของที่ขึ้นมา ผมต้องกลับออกไปนั่งตรงบันไดอีกเช่นเดิม!!


หลังจากนั่งตรงบันไดไปจนเข้าใกล้นครปฐม ผมลองลุกขึ้นไปสำรวจดูภายในโบกี้ที่ได้เก็บเป้เอาไว้ เห็นมีที่นั่ง ๓ คนบางตัวที่มีคนนั่งเพียง ๒ คน แต่พอเข้าไปขอนั่งด้วยกลับถูกบอกว่าไม่ว่าง...มีเจ้าของบ้าง เค้าไม่ยอมขยับให้นั่งเพราะอยากจะนั่งแบบสบาย ๆ ..


โชคดีที่ยังมีคนแบ่งที่ให้นั่ง แม้อยู่ใกล้ส้วมก็ไม่เป็นไร พอถึงนครปฐมคนโดยสารขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นผู้ถือตั๋วมีหมายเลขที่นั่ง มีเด็กหญิงตัวเล็กมาด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะไม่มีใครมอบที่นั่งให้ ผมตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเรียกเด็กให้เข้ามานั่ง ตัวเองเดินจากมา ตั้งใจว่าจะกลับไปนั่งบนพื้นเหมือนเดิม พอดีเหลือบเห็นเบาะ ๓ คนมีคนนั่ง ๒ คนอยู่อีกเบาะหนึ่ง จึงเข้าไปขออาศัยนั่งด้วย ชายคนที่นั่งอยู่ขยับตัวให้ ผมจึงไม่ต้องกลับไปนั่งตรงบันได...

ทางด้านซ้ายผมเห็นหญิงคนหนึ่งนั่งยกเท้าขึ้นบนเบาะ ครองที่นั่งเอาไว้คนเดียว เธอยังมีหน้าบอกกับผมว่าเช้ามืดจะลงที่สุราษฎร์ แล้วจะให้ผมไปนั่งแทนที่เธอ...แต่ตอนนี้ขอนั่งสบาย ๆ ไปก่อน  สถานีต่อไปมีผู้โดยสารขึ้นมาอีก ไม่มีที่นั่ง...ต้องยืน ชายคนหนึ่งอุ้มลูกให้เห็นอยู่ต่อหน้า หญิงไร้น้ำใจก็แสร้งหลับ ไม่ยอมแบ่งปันที่นั่งให้   ผมได้เห็นพฤติกรรมของคนเห็นแก่ตัวไปตลอดเส้นทาง ตัวเองก็ได้แต่นั่งตัวลีบ หลับ ๆ ตื่น ๆ ตั้งแต่หัวค่ำไปจนเช้ามืด

วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๘ ผมมีตั๋วโดยสารไปจนถึงสุไหงโก-ลก แต่ก็ต้องตัดสินใจว่าจะลงสถานีไหนดี?  คำเตือนของอาจารย์บีเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยที่จะนั่งรถจากยะลาไปเบตงยังดังก้องในสมอง ในใจก็ยังอยากจะดื้อรั้น ไม่ทำตามคำแนะนำที่ให้ไปลงหาดใหญ่แล้วนั่งรถตู้ไปเบตง ผมหันไปคุยกับคนใต้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เค้าบอกว่าเมื่อวันก่อนมีระเบิด ๔ จุดในปัตตานี ทหารซึ่งนั่งมากับรถขบวนนี้เต็ม ๑ โบกี้ก็กำลังยกพลไปลงที่สถานียะลา ผมจึงตัดสินใจไม่ไปลงที่นั่น!

ส่วนสุไหงโก-ลกนั้น ถ้าผมไปลงที่นั่น ก็ต้องต่อไปโกตาบารูแล้วนั่งรถไปบัตเตอร์เวิร์ธ ทำให้หมดโอกาสได้เห็นเมือง Baling และที่สำคัญคือไม่ได้เป็นผู้นำทางให้กับเพื่อน ๆ ที่คิดจะเดินทางเข้าออกทางด่านเบตง!  ในที่สุดผมก็ตัดสินใจไปลงหาดใหญ่ซึ่งใน timetable บอกว่าจะถึงเวลาประมาณ ๐๖.๔๕ น.


ผมยืนอยู่บนชานชาลาสถานีชุมทางหาดใหญ่แล้วครับ!

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

คืนแห่งความทรงจำ


๑ เมษายน ๒๕๕๘... รถเร็วขบวน 102 พาผมเดินทางออกจากสถานีเชียงใหม่เมื่อเวลา ๐๕.๔๕ น. ถึงสถานีหัวลำโพงเมื่อเวลาประมาณ ๓ ทุ่มกว่า


๑๕ ชั่วโมงของการนั่งหลังขดหลังแข็งในโบกี้รถชั้น ๓ ตั้งแต่เช้ายันค่ำเป็นประสบการณ์ที่เคยชินซะแล้ว ผมต้องทำใจให้นิ่ง ปรับกายให้อยู่ได้กับความลำบาก แม้จะรู้สึกคัน เหนียวตัว อ่อนล้า และเมื่อยขบ...


ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่าย... ผมมองภาพของผู้โดยสารผู้ร่วมเดินทางมาด้วยกันด้วยความสนใจ ตลอดเส้นทางไม่เคยปล่อยให้แต่ละนาที ๆ ผ่านไปอย่างไร้ความหมาย  กับชีวิตที่เห็นเบื้องหน้า... หากเป็นนักเขียนคงเก็บมาบรรยายได้ยาวยีด แต่น่าเสียดายที่ผมเป็นแค่เพียงนักเดินทางสูงวัยคนหนึ่งเท่านั้น!


ได้แต่พยายามมองภาพที่ปรากฏต่อสายตาอย่างรังสรรค์...


มีน้ำและอาหารใส่ถุงหิ้วมาด้วย ผมไม่ได้ใช้เงินแม้แต่บาทเดียวตลอดการเดินทางจากเชียงใหม่ถึงกรุงเทพฯ  เมื่อช่วงแรกผ่านไป พรุ่งนี้ก็ต้องนั่งรถเร็วลงใต้เวลาบ่ายโมงตรง แล้วคืนนี้จะนอนที่ไหนล่ะ? อีกตั้ง ๘ ชั่วโมงกว่าจะสว่าง!!  ผมวางแผนไว้แต่แรกแล้วว่าจะขอนั่งหลับรอจนถึงเช้า เหมือนกับเคยทำที่สถานีรถไฟในเวนิส แฟรงก์เฟิร์ต และมัณฑะเลย์...


บริเวณห้องโถงใหญ่หน้าช่องจำหน่ายตั๋ว ผมเห็นเก้าอี้สำหรับผู้โดยสาร คิดว่าเหมาะเหลือเกิน!  ไปนั่งอยู่ได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็มาไล่  บอกว่าสถานีจะปิดแล้ว!  ให้ออกไปอยู่ข้างนอก!


ห้องน้ำในสถานีใช้งานไม่ได้ (ปิดปรับปรุง) ทาง กทม. ต้องนำรถสุขามาจอดให้บริการอยู่ด้านหน้าสถานี


ไม่มีใครอยากลำบากหรอกนะ บนพื้นซึ่งปกติเป็นที่สัญจรของผู้คน ขณะนี้ได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นโรงแรมสาธารณะสำหรับนักเดินทางผู้ไม่มีที่จะไป ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งมาด้วยกันจากเชียงใหม่ กำลังจะกลับบ้านที่ราชบุรี เขาต้องนอนรอที่หัวลำโพงจนสว่าง ก่อนจะจับรถเมล์เที่ยวแรกไปขนส่งสายใต้เพื่อนั่งรถโดยสารไปเมืองโอ่งมังกร  ชายผู้ใจดีต้องไปหาหมอที่เชียงใหม่ เค้าบอกว่านอนที่โรงแรมหัวลำโพงอย่างเนี้ยทุก ๆ สองเดือน ผ้าพลาสติกสีเหลืองที่พกพามาด้วยถูกปูลงบนพื้นสกปรกเพื่อใช้เอนตัวลงนอน...


มีที่ว่างแคบ ๆ อยู่ระหว่างกลาง คนราชบุรีกวักมือเรียกคนลำปางให้ไปนอนตรงนั้น...


วางเป้และถุงเสบียงไว้หัวนอน ผมเหยียดกายลงบนพื้นหินขัด นับเป็นครั้งแรกในชีวิต (และคงเป็นครั้งสุดท้าย) ที่ได้อาศัยพื้นถนนหน้าสถานีรถไฟหัวลำโพงเป็นที่นอน...


มองไปรอบข้าง เห็นเพื่อนร่วมประสบการณ์เดียวกันจำนวนไม่น้อย...


ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย เป็นฝูงชนที่บรรดานักการเมืองและมหาเศรษฐีมองเห็นว่ามิได้อยู่ในระดับเดียวกับตน พื้นถนนนั่นแหละคือที่ ๆ เหมาะสมแล้วสำหรับหลับนอน...


อากาศร้อนอบอ้าวก็ต้องทนอยู่ให้ได้...


บ้างก็มากันเป็นครอบครัว ห้อง suite ที่นี่ไม่คิดเงิน...


ผมนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ จนเกือบจะตีห้าจึงได้ลุกขึ้น เพื่อนร่วมพื้นถนนบอกว่าอีกไม่ช้าสถานีก็จะเปิดและมีเจ้าหน้าที่มาเป่านกหวีดไล่ ผมเห็นผู้คนเก็บเสื่อซึ่งมีทั้งกระดาษหนังสือพิมพ์และผ้าพลาสติกแล้วหิ้วสัมภาระไปรอที่ประตูทางเข้าสถานี  วันนี้ไม่มีเสียงนกหวีดให้ได้ยิน เพราะผู้พักอาศัยต่างรู้หน้าที่  ในนานนักบริเวณหน้าสถานีหัวลำโพงก็เปลี่ยนสภาพจากโรงแรมคนจนกลายเป็นทางเดินสาธารณะ...


ผมเริ่มต้นวันที่สองของการเดินทางที่นี่ สถานีรถไฟหัวลำโพง...หรือจะเรียกว่าโรงแรมหัวลำโพงก็ได้!

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

วัดดำรงธรรม ลำปาง


“วงเวียนไก่(ขาว)” (1) อยู่ตรงสามแยกถนนวังขวาและเส้นทางตรงไปสะพานพัฒนาภาคเหนือข้ามแม่น้ำวังไปยังถนนบุญโยง…


ใกล้ ๆ กับวงเวียนไก่ขาว (1) มีวัดสังกัดมหานิกายอยู่วัดหนึ่งชื่อว่า "วัดดำรงธรรม"


ซุ้มประตู (3) ดูค่อนข้างแตกต่างกับวัดอื่น ๆ...



พระอุโบสถ (4) ไม่ใหญ่นัก ไม่มีบันไดนาค แต่ลวดลายของหน้าบัน ช่อฟ้า-ใบระกา ฯลฯ ดูวิจิตรและงดงามไม่แพ้ใคร...








พระประธานประดิษฐานภายในอุโบสถ...





ลายสลักบนบานประตูอุโบสถ...



ผมถามคุณลุงที่อยู่ในโบสถ์ว่าเหล็กติดกับผนังคล้ายขั้นบันไดขึ้นไปยังเพดานนั่นใช้ทำอะไร?


ได้คำตอบว่าเอาไว้ใช้สำหรับไต่ขึ้นไปซ่อมแซมหลังคาหรือบนเพดานอุโบสถ... อืมมม์ เพิ่งเคยเห็น!


มีพระเจดีย์อยู่หลังวิหารตามรูปแบบโดยทั่วไป วันนี้ท้องฟ้ามืดคริ้มทำให้ได้ภาพไม่ชัดเจนเท่าที่ควร



ศาลาการเปรียญ (5) ใหญ่โต...


หอระฆังตั้งอยู่ข้าง ๆ


ผมหวังว่าวัดดำรงธรรมซึ่งดูไม่ขัดตาจะดำรงอยู่ในสภาพนี้ตลอดไป!