วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วัดสวนดอก ลำปาง


จากห้าแยกหอนาฬิกา (CT) ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คหรือจุดศูนย์กลางของจังหวัดลำปาง เพื่อน ๆ ขับรถไปตามถนนบุญวาทย์อีกประมาณ ๕๐๐ เมตรก็จะเห็น "วัดสวนดอก" (W) ตั้งอยู่ด้านซ้ายมือ


ประตูเข้าด้านถนนบุญวาทย์อยู่เยื้องกับธนาคารธนชาต...


ส่วนทางด้านถนนสวนดอกก็มีซุ้มประตูลักษณะเดียวกัน (2)...



หากเดินเข้าประตูด้านถนนบุญวาทย์ เพื่อน ๆ จะเห็นศาลเจ้าแม่กวนอิม (6) อยู่ทางด้านขวามือ...


ทางด้านซ้ายมือคือ วิหารหลังใหญ่ (3)





ซุ้มและบานประตูลงรักปิดทองงดงามยิ่งนัก...







หลังคาลดหลั่น ๓ ชั้น พร้อมยอดฉัตรตรงกลาง...



หลังวิหาร ...


เห็นช่างกำลังก่อสร้างหอระฆัง (4) ตั้งอยู่ข้างวิหาร...



มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม (5) ด้วย...


วัดนี้ไม่มีพระเจดีย์! ข้อมูลในเน็ตก็มีไม่มาก... 

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

A Frame A Day - เคาะประตูบ้านไฮเดิน

Joseph Haydn - ภาพจาก wikipedia

บ้านของไฮเดิน (Haydnhaus) ในกรุงเวียนนา อยู่เลขที่ 19 ถนน Haydngasse  เช้าวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๒๘ ผมนั่งรถรางสาย ๕๘ ไปลงในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดแล้วเดินไป...


เป็นจุดหมายแรกของการเที่ยวชมบ้านคีตกวีในวันนี้ ผมบันทึกไว้ว่า "ไปถึงปรากฏว่ายังไม่เปิดทำการ ต้องรออยู่จน ๑๐.๐๐ น. ถึงได้เข้าชม - ได้เห็นบ้านที่ไฮเดินเคยอยู่   harpsichord ที่เคยเล่น และอื่น ๆ อีกมาย - มีห้องที่เป็น memorial room สำหรับ Johannes Brahms ด้วย - มีหนังสือขายราคา ๓๐ ชิลลิง แต่ไม่ได้ซื้อ เพราะมีงบน้อย..."


ไฮเดินเสียชีวิตเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 1890 รวมอายุได้ ๗๗ ปี  หากผมไม่สับสน...ภาพนี้น่าจะเป็น death mask (รูปหน้าที่หล่อจากหน้าจริงเมื่อตายแล้ว) ของไฮเดิน






ถ้าชอบเพลงคลาสสิกก็ต้องรักไฮเดิน การได้มาเดินอยู่บนบ้านของบิดาแห่งซิมโฟนีจึงเป็นความประทับใจสุด ๆ ของผม!

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

A Frame A Day - เคาะประตูบ้านเบโธเฟน

เพื่อน ๆ เชื่อหรือไม่ว่าเมื่อ ๓๑ ปีแล้ว บ้านของเบโธเฟนในกรุงเวียนนายังคงไม่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์งดงามทันสมัยเหมือนในปัจจุบันนี้  เมื่อปี ๒๕๒๘ ผมได้มีโอกาสไปยืนอยู่หน้าประตูบ้านของเบโธเฟนแล้วนะ (แต่ไม่ได้เคาะ)


Ludwig van Beethoven เกิดที่กรุงบอนน์เมื่อปี ค.ศ. 1770  เดินทางมาเวียนนาครั้งแรกตอนอายุ ๑๗ ปีเพื่อพบกับโมสาร์ท และกลับมาอีกครั้งเมื่ออายุ ๒๒ ปีซึ่งเป็นช่วงที่โมสาร์ทเสียชีวิตแล้ว เบโธเฟนได้ศึกษากับ Joseph Haydn แล้วใช้ชีวิตอยู่ในเวียนนาเป็นเวลา ๓๕ ปี จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี 1827

ฺBeethoven's Pasqualatihaus - บันทึกเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๒๘

ทุกวันนี้นี้มีบ้านสามหลังของเบโธเฟนในกรุงเวียนนา ที่ถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ คือ Pasqualatihaus, Apartment in Heiligenstadt และ Eroica House  (ที่มา - wien.info) 


 


๖ มิถุนายน ๒๕๒๘ ผมบันทึกไว้ว่า...
จากบ้านของ Haydn เดินไปตามถนน Stumber แล้วขึ้นรถเมล์สาย 57A ไปเยือน Beethoven Apartment ที่เ่บโธเฟนเคยเช่าอยู่ในปี 1822/1823  - เดินไปตามทางมืด ๆ ไม่พบอะไร เพราะสถานที่นั้นเป็นของเอกชน เค้าจะเปิดให้ชมเป็นช่วง ๆ เท่านั้น - แค่นั้นก็พอใจแล้ว เพราะคิดว่าได้เดินบนเส้นทางที่เบโธเฟนเคยเดินในอดีต...

ไปที่บ้านของเบโธเฟนอีกหลังที่ถนน Doblinger เป็นบ้านที่เบโธเฟนอาศัยอยู่ในขณะที่แต่งซิมโฟนีหมายเลข ๓ โดยตั้งใจที่จะอุทิศให้แก่นโปเลียน แต่ด้วยความผิดหวังในตัวนโปเลียนจึงได้เปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็น Eroica  บ้านหลังนี้จึงถูกขนานนามว่า House of Eroica  ตอนที่ไปถึงนั้นเกือบจะเที่ยงวันแล้ว คนเฝ้าสถานที่กำลังนั่งหลับอยู่ - เข้าไปชม ถ่ายรูป และลงชื่อในสมุดเยี่ยม ก็ยังไม่รู้สึกตัว - ตอนเดินออกมาก็ยังนั่งหลับอยู่
ภาพ Eroica House ที่สแกนได้จากฟิล์มสไลด์ยังคงดูพอใช้ได้ครับ...


มีอีก ๓-๔ บาน...


รูปหน้าที่หล่อจากหน้าจริงเมื่อตายแล้ว (death mask) ของเบโธเฟน…

  


ชื่นชอบเบโธเฟน...ต้องยอมรับว่าผมมีความสุขกับการมาเยือนครั้งนี้จริง ๆ

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

A Frame A Day – เคาะประตูบ้านโมสาร์ท


เพื่อน ๆ ที่รักครับ... ช่วงเดินทางในออสเตรียเมื่อปี ๒๕๒๘  ผมได้แวะเยือนบ้านของโมสาร์ททั้งใน Salzburg และ Vienna แต่จำไม่ได้ว่าภาพที่ปรากฏอยู่ในฟิล์มสไลด์อายุ ๓๐ ปีที่กำลังสแกนอยู่นั้นถ่ายจากที่ไหนกันแน่?  เอาเป็นว่าครั้งหนึ่งในชีวิตผมได้ไปเห็นบ้านของโมสาร์ทคีตกวีเอกของโลกมาแล้วละกัน!


เดือนมิถุนายน ๒๕๒๘  ผมบันทึกว่า...
เดินไปยัง Mozarts Geburtshaus ซึ่งอยู่บนถนน Getreidegasse - แวะซื้อโพสต์การ์ดระหว่างทาง ๑ ใบ (๓.๕๐ ชิลลิง) - จ่ายค่าเข้าชมบ้านเกิดโมสาร์ท ๑๕ ชิลลิง (ตั๋วนักเรียน) -  ในอาคาร ๓ ชั้น ชั้นแรกเป็น special exhibition, ชั้นสองเป็น Mozart and Opera ส่วนชั้น ๓ เป็น Home of Mazart Family - มีโอกาสได้เห็นห้องที่เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นห้องที่โมสาร์ทเกิด - ได้เห็นห้องครัว ห้องนั่งเล่น ฯลฯ...

จากนั้นก็ไปยัง makartplatz  เพื่อเยี่ยมชม Mozart-Wohnhaus  ซึ่งอยู่เลขที่ 8  makartplatz เป็นบ้านหลังที่สองของครอบครัวโมสาร์ท - ไปถึงเหลือเวลาอีก ๑๕ นาทีก็จะปิด แต่ก็ได้ชมจนเป็นที่พอใจ (ค่าผ่านประตู ๗.๕๐ ชิลลิง) ได้เห็นทั้งเครื่องดนตรีเก่า, สกอร์เพลง และสมบัติของโมสาร์ท...

น่าเสียดายที่เค้าไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ ไม่งั้นคงมีภาพมาให้เพื่อน ๆ ได้ดูบ้าง!

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

A Frame A Day - ถนนบาห์นฮอฟ (Bahnhofstrasse)

วันก่อนเขียนเรื่องศูนย์การค้าหรูที่ Queen Victoria Building ในนครซิดนีย์ วันนี้ "A Frame A Day" ขอพาเพื่อน ๆ ไปเดินเที่ยวถนนบาห์นฮอฟ (Bahnhofstrasse) ถนนช้อปปิ้งในเมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วยกัน...


"ถนนบาห์นฮอฟ (Bahnhofstrasse)" เป็นถนนย่านการค้าที่มีชื่อเสียงของเมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บนเส้นทาง ๑.๔ กิโลเมตรจากอนุสาวรีย์หน้าสถานีรถไฟ ผ่าน Paradeplatz ไปยังทะเลสาบ เป็นถนนที่มีรางเดินรถรางอยู่กลางถนน สองข้างทางร่มรื่นด้วยต้นไม้สูงใหญ่ เรียงรายด้วยธนาคาร ร้านค้าและห้างสรรพสินค้า กล่าวกันว่าถนนสายนี้เป็นถนนช้อปปิ้งที่แพงที่สุดในโลก!!


วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๘ ผมไปเดินมาแล้วครับ บันทึกภาพไว้ด้วย ๒ บาน...


สินค้าแบรนด์ดัง อาทิ Armani, Gucci, Prada. Rolex, Cartier, Tiffany ฯลฯ อยู่ที่นี่หมด... 


ดีใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตมีโอกาสได้เดินวินโดว์ช้อปปิ้งบนถนนสายนี้!

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559

A Frame A Day – Fraumünster Church

หลังจากประมูลได้เครื่องสแกนฟิล์มตัวใหม่มา... ผมก็เริ่มลงมือสแกนฟิล์มสไลด์ซึ่งได้จากทริปไปยุโรปเมื่อปี ๒๕๒๘ ทันที!


จำได้ว่าตอนนั้นผมใช้กล้อง Pentax K1000  มีฟิล์มสไลด์ซื้อจากร้านถ่ายรูปในเชียงใหม่ไปด้วย ๖ มัวน เป็นยี่ห้อโกดักและอั๊กฟ่าอย่างละครึ่ง...

 Pentax K1000 - ภาพจาก commons.wikimedia.org

เพื่อน ๆ ที่รักครับ!  ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาและรู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่ก็ยังอยากจะเขียนบล็อก exploring the world ให้ต่อเนื่อง โชคดีที่ได้ไฟล์จากการสแกน ผมขอกลับไปเขียนในรูปแบบ A Frame A Day คือหยิบภาพจากการสแกนขึ้นมา ๑ บานแล้วเขียนถึง วันนี้ได้ภาพ Fraumünster Church ที่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ครับ...

Fraumünster Church - บันทึกด้วยฟิล์มสไลด์อั๊กฟ่า เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๒๘


วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๘ ผมนั่งรถไฟจากมิลานถึงซูริค ได้บันทึกไว้ว่า...
รถออกจากสถานีมิลานช้ากว่ากำหนดครึ่งชั่วโมง กว่าจะถึงซูริคก็เกือบ ๓ ทุ่ม รู้สึกช็อคเมื่อพบว่าเงิน ๑,๐๐๐ บาทพอมาถึงที่นี่มีค่าเท่ากับ ๑๐๐ บาทเท่านั้น เหรียญสวิสขนาดเหรียญห้าบ้านเรามีค่าถึง ๕๐ บาท มาถึงซูริคก็มืดแล้ว ข้อมูลต่าง ๆ ก็ไม่มี จึงตัดสินใจว่าจะนั่งรอจนถึงเช้า (มีฝรั่งหลายคนเจอปัญหาไม่มีที่พักเหมือนกัน) อากาศหนาวเย็น นับตั้งแต่เดินทางมาไม่เคยเจอแบบนี้ สถานีรถไฟปิดตอน ๒ ยาม ไปนั่งที่พักผู้โดยสารรถรางก็มีฝรั่งขี้เมามากวนจะชวนให้ไปพักที่บ้าน  ต้องหลบลงไปที่ทางเดินใต้ดิน เห็นชายคนหนึ่งอาศัยนอนอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะ พอดีมีหลายตู้จึงเข้าไปนอนบ้าง ทำให้ไม่หนาวเท่าไหร่ แต่ก็ต้องนอนขดตัวจนปวดเมื่อยไปทั้งตัว...
เช้าวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๒๘  หลังจากได้ข้อมูลและแผนที่จาก tourist office นำเอาเป้ไปฝากเก็บที่ Left-Luggage Locker (โชคดีที่เป้ใส่ได้พอดี) หยอดเหรียญลงไป ๑ ฟรังก์ (๑๐.๕๐ บาท) ตู้จะล็อค สามารถดึงเอาลูกกุญแจออกมาเก็บไว้ได้ จากนั้นก็ออกเดินเที่ยวพร้อมกับกล้องคู่ใจ...


ได้บันทึกไว้ว่า...
ยามเช้าเช่นนี้บรรยากาศดีมาก มีทางเดินเลียบริมน้ำ เค้าทำเป็นที่พักผ่อนไว้ตลอดแนว มีคนเดินเล่น บ้างก็ขี่จักรยาน บางคนนอนอยู่บนเก้าอี้ยาว หนุ่มสาวบางคู่กอดกันอย่างมีความสุข  จากทะเลสาบซูริค หรือ Zürichsee (1) มีแม่น้ำ Limmat  (2) ไหลผ่าน แบ่งระหว่างซูริคเก่ากับซูริคใหม่ ถนนสองฝั่งแม่น้ำ Limmat ดูเข้าท่าดี  มี Fraumünster Church วิหารสไตล์ Gothic มองเห็นหอสูงมียอดแหลมสีฟ้าได้แต่ไกล...
เพื่อน ๆ ดูภาพสไลด์ข้างบนอีกครั้งนะครับ...


พอดีมีภาพเก็บตกริมแม่น้ำ Limmat อยู่ในฟิล์มสไลด์ ๓-๔ บาน จึงขอนำมาโพสต์ไว้ด้วยดังนี้...






Fraumünster Church.... นึกว่าจะเขียนสั้น ๆ แต่ก็ยาวเหมือนกันแฮะ!