วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2561

FB Trip ไปมะละกา - จบแล้ว!

ที่มะละกา... ผมขี่จักรยานวนเวียนอยู่แถว ๆ World Heritage site พยายามมองหาอะไรที่ทำให้หวนคิดถึงภาพที่สวยงามในอดีต อนิจจา! ผมเห็นแต่รถและผู้คน!

ภาพจาก google street view



บนถนนคนเดินบริเวณหน้าโบสถ์คริสต์มะละกา (Christ Church Melaka) ซึ่งในอดีตผมเคยเดินแบบสบาย ๆ แต่วันนี้ต้องหลบหลีกผู้คน กลัวว่าจะชนกัน (ภาษาลาวว่า..ต๋ำกั๋น) ในที่สุดก็ต้องบอกตัวเองว่า "กลับดีฝ่า!"  ผมแวะถามชายมาเลย์เชื้อสายจีนคนหนึ่งถึง bus station เค้าแปลกใจ พูดว่า "ยูไม่มี GPS เรอะ?"  หุหุ ตาแก่จากเมืองรถม้าจะไปมีได้อย่างไร?  ไม่เป็นไร...ผมปั่นจักรยานตามเส้นทางที่ชายใจดีบอก  ผ่านบ้านเมืองและการจราจรที่แออัดหลายกิโลเมตรอยู่เหมือนกัน  



ในที่สุดก็ถึงสถานีขนส่งขนาดใหญ่ซึ่งใน google maps เขียนว่าเป็น "Melaka Sentral" 


จำได้ว่าแต่ก่อนผมนั่งรถบัสมาถึงมะละกา เค้าจอดส่งที่สถานีขนส่งเล็ก ๆ (เหมือนกับที่เร็ว ๆ นี้เคยเห็นในเขมร) แต่ที่สถานีขนส่งมะละกามันช่างใหญ่โตเหลือเกิน!  




เดินดูตามช่องจำหน่ายตั๋วภายในอาคาร พบว่ามีรถกลางคืนวิ่งจากมะละกาไปรันเตาปันจัง ผมซื้อตั๋วเลยครับ! แม้ว่าจะต้องนั่งรออีกเกือบ ๓ ชั่วโมง พอรถเข้าเทียบชานชาลา เค้าเปิดใต้ท้องรถ ผมก็นำเจ้า Banian เข้าเก็บด้วยตนเอง



รถออกแล้วจ้า... 


  
วิ่งจากมะละกา (M) ไปสุดระยะที่รันเตาปันจัง (R) ระยะทาง ๕๕๒ กิโลเมตร อากู๋บอกว่ารถยนต์วิ่งประมาณ ๘ ชั่วโมง แต่รถโดยสารใช้เวลามากกว่านั้น... 



ได้ที่นั่งด้านหลัง...ผมนั่งหลับตลอดทางด้วยเชื่อมั่นในความปลอดภัย ไม่มีการลงจากรถ...มาตื่นอีกทีก็ประมาณตี ๔ พบว่ารถกำลังจอดอยู่ ผมไม่เห็นคนขับ เหลือแต่ผู้โดยสารไม่กี่คนบนรถ ฝรั่งแก่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โวยวายเสียงลั่นว่า "Anybody speak English (บ้างวะ)???"  แต่ไม่มีเสียงตอบ ผมก็ปิดปากเงียบ คิดว่ารถวิ่งมาถึงสถานีขนส่งโกตาบารู (K) แล้วล่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะข้างนอกยังมืดอยู่ เปิดตาดูแบบสลึมสลือ...เห็นแกหอบสัมภาระเดินลงรถไปแบบทุลักทุเล คงจะตีตั๋วมาลงโกตาบารู (K) แต่ไม่มีใครบอกเมื่อถึงจุดหมาย สำหรับผมนั้น สบม. (สบายมาก) เพราะไปลงปลายทางที่รันเตาปันจัง (R) ซึ่งรถต้องวิ่งอีก ๔๒ กิโลเมตร...




ประมาณตี ๕ เห็นจะได้... รถเข้าจอดที่สถานีขนส่งรันเตาปันจัง 


ดับเครื่องแล้ว คนขับหายไปเลย รู้สึกว่าผมจะลงจากรถเป็นคนสุดท้าย...


หอบหิ้วสัมภาระลงมาจากรถ (ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่หลงลืมอะไร) ผมเห็นช่องเก็บของใต้ท้องรถเปิดอยู่แล้ว เหลือแต่จักรยานของผมเพียงคันเดียว...รีบนำมันลงมาทันที



เช้านี้มีฝนตก พื้นถนนยังเปียกอยู่เลย... ผมถ่ายภาพรอบ ๆ ข้างไว้ ๒-๓ บาน



ปั่นออกจากสถานีขนส่ง (1) แวะร้านขายของชำทางด้านซ้ายมือ (2) ซื้อแลคตาซอย ๑ กล่องและน้ำ ๑ ขวด ยืนดื่มที่หน้าร้านจนหมด จากนั้นใช้เวลาไม่นานในการผ่านด่านมาเลเซียและด่านไทย...ผมปั่นจักรยานถึงตลาดสดเทศบาลเมืองสุกไหงโก-ลก (3) เวลา ๗ โมงตรง!


แวะซื้อผัดหมี่และขนม (อีตุย) ไว้เป็นอาหารเช้า... 




เข้ามาถึงชานชาลาสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก (4) เวลา ๐๗.๑๙ น.




 หาที่นั่งแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ (เสีย ๓ บาท) ก่อนที่จะกลับมากินหมี่และของหวาน...





ซื้อตั๋วรอไว้แล้ว พอรถไฟเข้าเทียบชานชาลา ผมก็นำจักรยานขึ้นเก็บตามที่มีประสบการณ์ มัดไว้จนแน่ใจว่าตลอดระยะทาง ๑ พันกว่ากิโลเมตรจากสุไหงโก-ลกถึงกรุงเทพฯ คงไม่หล่นลงมาโดนหัวผู้คน 







ตามกำหนดขบวนรถเร็ว 172 ออกจากสุไหงโก-ลกเวลา ๑๑.๓๐ น. ถึงกรุงเทพฯ เวลา ๐๙.๑๕ น. แต่คราวนี้รถเสียเวลา ถึงสถานีหัวลำโพงก็เกือบเที่ยงวัน!

จบแล้วครับ "FB Trip ไปมะละกา!"  ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามอ่าน...

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561

FB Trip ไปมะละกา - ทำไมถึงผิดหวัง

วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๓๐ ผมส่งไปรษณียบัตรจากมะละกาถึงแม่ที่เชียงใหม่ แม้ว่าทุกวันนี้แม่ปราณีได้จากไปแล้ว แต่พอผมนำการ์ดใบนี้ออกมาอ่าน ภาพชีวิตของเราสองแม่ลูกก็ปรากฏชัดขึ้นในสมอง... 


เพื่อน ๆ ผู้ที่ได้ติดตามเรื่อง "FB Trip ไปมะละกา" ของผม อาจไม่เข้าใจว่าเหตุใดผมจึงผิดหวังมากมายถึงขนาดไม่ยอมถ่ายภาพเมืองแห่งมรดกโลกเอาซะเลย! อยากให้ลองมาเป็นผมดูบ้าง! ปั่นจักรยานลุยเดี่ยวไปสิงคโปร์เมื่อปี ๒๕๓๐ ผมเขียนบอกแม่ว่า... 
"เช้านี้ได้ซักกางเกงและเสื้อผ้าที่สกปรกทั้งหมดที่ธารน้ำเล็ก ๆ เบื้องล่างแล้วเอาขึ้นไปตากที่ราวเหล็กข้างทาง จากนั้นก็เอาขนมเค้กและผลไม้ออกมากินเป็นอาหารเช้า จดบันทึก เขียนจดหมาย และรอเวลาให้ผ้าแห้ง จากนั้นจึงจะออกเดินทางไปมะละกา ผมตั้งใจว่าจะพักที่มะละกาสัก ๑-๒ คืนแล้วมุ่งหน้าต่อไป เหลืออีกประมาณเกือบ ๓๐๐ กิโลเมตรเท่านั้น  ผมก็จะถึงสิงคโปร์ กล่าวคือผมเดินทางไปได้ ๒ ใน ๓ ของเส้นทางทั้งหมด หนทางที่ลำบากมาก ๆ ก็ผ่านมาแล้ว ต่อไปก็จะไม่ลำบาก เพราะไม่ต้องขึ้นภูเขาสูงดังที่ผ่านมาระหว่างปีนังกับกัวลาลัมเปอร์...."  

ยังครับ...ยังเห็นไม่ชัดว่ามะละกาเมื่อ ๓๑ ปีที่แล้วทำให้ผมประทับใจมากน้อยเพียงใด ต้องมาดูไปรษณียบัตรอีกฉบับ (ส่งที่ไปรษณีย์มะละกาในวันเดียวกัน)




ผมเขียนบอกแม่ว่า...
"ขณะนี้ผมมีความสุขจริง ๆ ครับ เพราะผมเดินทางถึงมะละกาแล้ว ผมขี่จักรยานออกจากตัวเมืองไปยังชายหาดซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ได้เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งชื่อ "ยาชิก้า" ค่าพักคืนละ ๖๐ บาท ห้องที่ผมพักอยู่มีหน้าต่างติดชายหาด ห่างจากน้ำทะเลเพียงประมาณ ๘ เมตร มองเห็นทะเลไกลออกไปสุดสายตา ท้องฟ้าสีคราม เวลาดวงอาทิตย์ตกยิ่งสวยงามยิ่งนัก คลื่นที่ซัดเข้ามายังชายหาดก็ยังดังอยู่ไม่ขาดระยะ
ผมออกมานั่งที่บริเวณร้านอาหารของโรงแรมซึ่งยื่นออกไปในชายหาด ลมพัดเอื่อย ๆ สั่งกาแฟดำร้อน ๆ มากิน ๑ แก้ว แล้วนั่งเขียนไปรษณียบัตรนี้มาถึงแม่นี่แหละ ใส่กางเกงอาบน้ำตัวเดียว สวมเสื้อกล้าม รองเท้าฟองน้ำถอดไว้ที่พื้นแล้วยกเท้าวางไว้บนเก้าอี้ เหยียดขาตาสบาย เขียนไปก็เฝ้าดูพระอาทิตย์ตกดิน (ตกน้ำทะเล) ต่ำลง ๆ ทุกขณะ 
ตอนนี้ผมอยู่ห่างจากสิงคโปร์ประมาณ ๒๔๕ กิโลเมตรเท่านั้น ผมอาจจะพักที่นี่สัก ๓ คืนก็ได้ ตอนกลางวันผมจะขี่จักรยานเข้าไปในตัวเมือง เที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ของเขา พอตกเย็นก็ขี่กลับที่พัก นอนฟังเสียงคลื่น เปิดวิทยุ ใส่หูฟังเพลิน ๆ หลังจากที่ปั่นมาอย่างทรหดหลายวัน และตั้งเต็นท์นอนข้างทางก็หลายคืน อย่างนี้แล้ว...แม่จะไม่ให้มีความสุขได้ยังไงครับ?
มะละกาเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของมาเลเซีย มีประวัติความเป็นมาได้เกือบ ๖๐๐ ปี ประชากรก็ประกอบด้วยกันหลายเชื้อชาติ แขก จีน อินโด ชวา และอื่น ๆ พวกโปตุเกสก็เคยยึดครองมะละกาอยู่นานถึง ๑๓๐ ปี ดังนั้นในเมืองจึงมีอะไรดี ๆ ให้ดูไม่น้อย...."

น่าเสียดายที่ไปมะละกาครั้งแรกผมไม่ได้นำกล้องถ่ายรูปไปด้วย มิฉะนั้นแล้วคงจะมีภาพมาให้เพื่อนได้ดูเป็นแน่แท้ อย่างไรก็ตามทริปไปมะละกาอีก ๒ ครั้งต่อมาก็พอจะมีภาพซึ่งผมสแกนมาให้เพื่อน ๆ ดูแล้วดังนี้ (ต้องขออภัยที่ไม่ชัด)...






















แล้วมะละกาทุกวันนี้เป็นเช่นไร?  ผมไม่มีภาพมาฝากเพื่อน ๆ ต้องขอนำภาพจาก google street views มาให้ดูแทนสัก ๓-๔ บาน... 


ภาพจาก google stree views (thanks!)

ภาพจาก google stree views (thanks!)

ภาพจาก google stree views (thanks!)

ภาพจาก google stree views (thanks!)

เพื่อน ๆ อยากดูให้เห็นชัด ๆ ก็เข้าไปดูใน google earth นะครับ...


Tanjung Kling ที่ผมเคยไปนอนดูพระอาทิตย์ตกน้ำเมื่อ ๓๑ ปี เคยบอกแม่ว่ามีชายหาด ตอนนี้มันไม่มีแล้วครับ...


ถ้าต่อไประดับน้ำทะเลสูงขึ้น เค้าไม่กลัวถูกน้ำท่วมกันเลยหรือเนี่ย?