วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

Travellin' light ไปพม่า - U Ko Oo ชายใจดี

ได้อ่านมาว่าในกระบวนการย่อยอาหารของคนเรา ถ้าเป็นพวกคาร์โบไฮเดรตหรือแป้ง น้ำย่อยที่หลั่งออกมาจะมีสภาพเป็นด่าง แต่ถ้าเป็นโปรตีนหรือเนื้อสัตว์ จะต้องใช้น้ำย่อยที่มีสภาพเป็นกรด เจ้าน้ำย่อยชนิดนี้ถ้ามันหลั่งออกมาแล้วไม่มีอาหารเนื้อสัตว์ให้ย่อย มันก็จะหันไปกัดผนังสำไส้ ทำให้บางคนบ่นว่า "หิวข้าวจนแสบไส้" 

ส่วนผมไม่ได้กินเนื้อสัตว์มานานแล้ว คิดว่าเจ้าน้ำย่อยประเภทกรดที่ใช้ย่อยเนื้อสัตย์คงไม่หลั่งออกมา เมื่อไหร่ที่อดข้าว นอกจากท้องร้องจ๊อก ๆ แล้ว...อาการแสบไส้จะไม่ตามมา! ด้วยเหตุนี้ เมื่อต้องเดินทางยาวไกล ใช้เวลาข้ามวันข้ามคืน ไม่ว่าจะด้วยรถยนต์ รถไฟ หรือเรือ ผมมักจะไม่ค่อยกินอะไร  กล่าวคือ วันทั้งวันนอกจากน้ำแล้ว แม้จะไม่มีอะไรอื่นตกถึงท้อง ผมก็ไม่รู้สึกหิว ไม่ทรมาน ไม่แสบท้องแสบไส้  อาการอ่อนล้าสิ้นแรงไม่ปรากฏ ร่างกายผมสะสมไขมันไว้มาก อยู่ได้อีกหลายวัน!  ขอให้มีน้ำดื่มอย่างเดียวก็พอ!

ตอนนั่งเรือจากมัณฑะเลย์ไปพะโค๊ะคุ ระหว่างทางผมซื้อกินแตงโมแค่ ๒ ชิ้น  ตอนนั่งรถจากอุดมไชยไปเดียนเบียนฟูยิ่งไม่ได้กินอะไรเลย  ผมเคยดื่มนมขณะนั่งรถโดยสารจากโกตาบารูไปสิงคโปร์ ผลที่ตามมาคือเกิดลมในท้อง นั่งตัวเกร็งตดไปตลอดทาง ตั้งแต่นั้นมาเข็ดจนตาย!  นั่งเรือจากกะตะไปมัณฑะเลย์วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ตั้งแต่เช้าแม้ไม่ได้กินอะไรเลยก็ไม่กังวล ผมไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย

แม้จะไม่มีห้องอาหารบนเรือ แต่ก็มีแม่ค้านำของขึ้นมาขาย เวลาที่เรือเข้าเทียบท่ารับส่งผู้โดยสาร...






แต่คนอื่นเค้าไม่ยอมอดข้าวเหมือนผมหรอกนะ...


ชายคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมก็เช่นกัน ผมเห็นแกพกอาหารสมองมาด้วย...



พอได้เวลาให้อาหารแก่ท้องตัวเอง แกก็ยกปิ่นโตขึ้นมาตักข้าวกิน!  ในขณะที่ผู้โดยสารหลายคนเลือกซื้อข้าวกล่อง...



นั่นไง แม่ค้าบนฝั่งกำลังตักอาหารลงกล่อง...


ผมบันทึกไว้ว่า...
๑๐.๐๐ น. แดดเริ่มร้อนขึ้น  เรือมีผู้โดยสารเกือบเต็มลำ กินอาหารทิ้งเกลื่อน แทะเมล็ดแตงโมแล้วทิ้งลงบนพื้น
๑๑.๐๐ น. ชายที่นั่งอยู่ข้างหน้าหันมาพูดด้วย เป็นภาษาพม่า ฟังไม่เข้าใจ แต่ดูรู้ว่าจะเอาข้าวให้กิน พอพยักหน้าตอบรับ แกก็นำข้าวในถุงออกมาเทใส่ในปิ่นโตรวมกับไข่เจียวใส่หอมแดง อีกปิ่นโตนึงมีปลาและถั่ว แถมยังให้ผ้าปูตักไว้รองปิ่นโต และเทน้ำดื่มในขวดล้างช้อนให้ด้วย...

ผู้ให้คงจะสุขใจ เมื่อเห็นผู้รับเปิบข้าวหมด (แต่กับยังเหลือ)


นำข้าวมาเติมให้อีก ผมก็ไม่ขัดศรัทธา ตักกินจนเกลี้ยง  หลังจากนั้นเราก็เริ่มคุยกัน แม้จะพูดกันคนละภาษาก็ตาม เมื่อได้แลกเปลี่ยนชื่อและที่อยู่ให้กันและกัน จึงได้รู้ว่าชายใจดีผู้นี้ชื่อ U Ko Oo  อาศัยอยู่ในมัณฑะเลย์...


มาดูหน้ากันชัด ๆ...


ดูก็คล้าย "ทนายนกเขา"... U Ko Oo ชายใจดี!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น