วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อนาคตที่ไม่ปรารถนา

นานแล้วที่ผมไม่ได้เข้าเช็ค minds... วันนี้อยากเข้าไปดูซะหน่อยว่ามีอะไรใหม่บ้าง? 


พบคลิปวิดีโอชิ้นหนึ่งซึ่งทำให้ผมถึงกับอึ้ง ต้องหันมาทบทวนถึงการเดินทางที่ผ่านมา ได้นำภาพบ้านเมืองและผู้คนในอดีตมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ได้เห็นในปัจจุบัน วันนี้อยากเขียนเรื่องชีวิต ต้องงดเรื่องท่องเที่ยวไว้ซักวัน

โลกเปลี่ยนแปลงไปมากจริง ๆ มันเจริญและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันธารน้ำใจของมนุษย์ผู้ร่วมโลกก็เหือดแห้งลงทุกที ๆ  มาดูข่าว "Man hit by truck ignored and left to die"  ซึ่งเกี่ยวกับชายชาวอินเดียในกรุงเดลีถูกรถบรรทุกชนแล้วถูกปล่อยให้นอนรอความตายข้างถนนกันหน่อยนะ...


รถบรรทุกชนคนแล้วหยุดจอดข้างหน้า คนขี่จักรยานผ่านไป ไม่สนใจแม้แต่จะหันมามอง ตลอดระยะเวลา ๓๐ นาทีมีผู้คนผ่านไปนับร้อย หนึ่งในนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นรถยนต์ ๑๔๐ คัน สามล้อรับจ้าง ๓๒ คัน จักรยาน ๑๘๐ คัน และคนเดินเท้าอีก ๔๕ คน


ขับรถชนคนแล้วแทนที่คนขับรถบรรทุกจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือ กลับลงเดินรอบรถสำรวจดูความเสียหายที่เกิดกับรถของเขา...ก่อนที่จะขับรถจากไป!


ชายผู้เคราะห์ร้าย (1) ถูกปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่อย่างนั้นนานถึงครึ่งชั่วโมง ช่วงนั้นมีสามล้อรับจ้างผ่านมา คนขับ (2) รีบจอดรถกลางถนน...



แทนที่จะมาช่วย... กลับเดินผ่านร่างที่นอนอยู่ แล้วเก็บเอาโทรศัพท์ (3) ของเขาไป



ในที่สุดก็มีคนโทรแจ้งตำรวจ  กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลาอีก ๔๐ นาที ผู้บาดเจ็บซึ่งมีลูกชาย ๒ คนและลูกสาว ๒ คนต้องเสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล

เพื่อน ๆ ที่รักครับ!  ผมได้เห็นภาพและอ่านข่าวสลดใจนั้นแล้ว รู้สึกคล้ายกับว่าท้องฟ้าจะลดความสดใสลงไป เสียงเพลงขาดซึ่งความไพเราะ ภาพเขียนหาความงดงามไม่ได้ ความรู้สึกอยากท่องโลกของผมลดฮวบลงไป!

สำหรับชายคนหนึ่งซึ่งอีกไม่กี่ปีก็ต้องใช้เลข ๗ นำหน้าอายุตัวเอง ผมได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว ไม่อยากได้อะไรอีก ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้เป็นแค่โบนัสที่พึงได้รับ ดั่งเช่นที่คุณเมธีบอกว่า "เกิดเป็นลุงน้ำชาถือว่าใช้ชีวิตได้คุ้มมาก ตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปถือว่าเป็นกำไรทั้งนั้น..."  อีกด้านหนึ่งผมอาจกล่าวว่ามีเวลาเหลืออีกเพียงเล็กน้อยที่จะทำอะไรให้สังคม

ทุกวันนี้อาจไม่ได้ติดต่อสื่อสารถึงเพื่อน ๆ หลายคน แต่ก็อยากบอกทุกคนว่า ผมไม่เคยลืม ไม่เคยสลัดทิ้งซึ่งมิตรภาพอันงดงามในอดีตของเรา เวลาใส่น้ำตาลลงในกับข้าวที่ทำ ผมก็นึกถึง "โต้ง อภิชาติ" และเสียงหัวเราะของเพื่อนอเมริกันชนยามที่เค้าบอกว่าเพิ่งเคยได้กินลาบคั่วเจใส่น้ำตาลที่ผมทำเลี้ยงที่บ้านทุ่งโฮเต็ล ช่วงเวลาที่ได้รู้จักกับโต้งที่วิทยาลัยพายัพนับแต่ปี ๒๕๑๙ ก็ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำอยู่เสมอ แม้ชีวิตนี้เราจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก ฯลฯ

ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ ผมจะพยายามประคองตัวยืนเพื่อยื่นมือสนับสนุนผู้ต้องการให้ช่วย ทั้ง ๆ ที่ความสามารถจะเหลือน้อยเต็มที สุขภาพผมเริ่มถดถอย เรื่องทุนทรัพย์นั้นก็ยิ่งหนัก ไม่มีบำเหน็จบำนาญกิน...ผมต้องอาศัยเงินที่เหลืออยู่!  แต่ก็ยังภูมิใจที่ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร!

ถ้าจะอยู่ต่อไปอีกซัก ๑๐ ปีก็คงพอไหว แต่ให้มากกว่านั้นผมก็ไม่ปรารถนาจริง ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น