วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

เล่าเรื่องเมื่อ ๒๙ ปีที่แล้ว

เห็นภาพการเดินทางไปเวียดนามของคุณแอ้มและสหายแล้ว ต้องขอชื่นชมในหัวใจนักสู้ของนักจักรยานผู้แกร่งกล้า สำหรับตัวเองคงไม่มีปัญญาที่จะทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน อ่อนล้าและแก่เกินกว่าจะคิด อีกทั้งงบประมาณที่จะซื้ออุปกรณ์และจักรยานคุณภาพดีก็ไม่มี!

ภาพจาก facebook คุณแอ้ม

ทุกวันนี้สิ่งที่ผมทำได้ก็คือ การเฝ้าชื่นชมกับการปั่นจักรยานท่องโลกของคนรุ่นใหม่ และได้แต่ให้กำลังใจ แต่บางครั้งผมก็ยังสงสัยอยู่ว่า บางคนสู้อุตส่าห์เสียสละเวลาและแรงใจแรงกายปั่นจักรยานตามกันไปด้วยระยะทางนับพันไมล์ ขึ้นเขาลงห้วยอย่างเร่งรีบเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แล้วจะได้อะไร...มากน้อยแค่ไหน? มันจะแตกต่างมั้ยกับความรู้สึกที่ผมเคยเดินทางคนเดียวด้วยจักรยานราคา ๑,๕๐๐ บาท ใช้ถุงทะเลแทนแพนเนียร์คู่ละหลายพัน ไม่มีอุปกรณ์นำทาง เครื่องวัดระยะ และเครื่องมือสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ผมมีเพียงเข็มไมล์ที่ต่อมาจากดุมล้ออย่างที่เห็นในภาพ...


ครั้งหนึ่งในชีวิตคือประสบการณ์ที่ผมได้ปั่นจักรยานในเมืองหลวง...



เดือนพฤศจิกายน ปี ๒๕๓๐ ปั่นจักรยานจากหาดใหญ่ไปสิงคโปร์ เป้าหมายจริง ๆ คือออสเตรเลีย ผมกะว่าจะนำจักรยานลงเรือสินค้าจากสิงคโปร์ไปขึ้นที่ท่าฟรีแมนเทิล เมืองเพิร์ธ  รู้สึกผิดหวังที่ไม่สามารถหาเรือไปออสเตรเลียได้ ผมต้องฝากจักรยานไว้แล้วบินไป

ครั้งนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูปไปด้วย ผ่านมาแล้ว ๒๙ ปี วันนี้ผมอยากจะลองเล่าเรื่องราวการปั่นจักรยานไปสิงคโปร์จากความจำที่ยังเหลืออยู่บ้างนิดหน่อย! (ขออนุญาตนำแผนที่และภาพจาก google มาประกอบด้วย) คู่มือที่ผมใช้ในการเดินทางมีเพียงหนังสือ "South-East Asia Handbook" 2nd Edition เขียนโดย Stefan Loose และ Renate Ramb หนา ๕๕๘ หน้าเล่มเดียว...


ส่วนแผนที่ที่ใช้นำทางมีแค่นี้เอง...


วันที่ ๑๐ พ.ย. ๒๕๓๐ ผมส่งไปรษณียบัตรเขียนบอกกับแม่ว่า...
แม่ครับ...  ผมเดินทางถึงกรุงเทพเรียบร้อยแล้ว การเดินทางนับจากออกจากบ้านสะดวกดีทุกอย่าง ค่าตั๋วรถไฟ ๑๓๕ บาท ค่าระวางจักรยานอีก ๖๖ บาท ที่นั่งก็ใช้ได้ นั่งหลับไปตลอดทาง พอถึงศิลาอาสน์ก็ซื้อผัดไทยกิน ๑ ห่อแล้วหลับต่อ อากาศเย็นเอาผ้าขนหนูออกมาห่ม พอถึงพิษณุโลกตื่นขึ้นมาซื้อน้ำเต้าหู้กับปาทั่งโก๋กิน ๑ ชุด ราคา ๕ บาท หลับต่อจนถึงกรุงเทพ ติดสินใจเอาถุงทะเลฝากไว้ที่หัวลำโพงก่อน...
เช้าตรู่วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ ผมปั่นจักรยานออกจากโรงพยาบาลหาดใหญ่ มุ่งหน้าไปยังด่านสะเดา ระยะทางเกือบ ๖๐ กิโลเมตร...


จำได้ว่าบนถนนลาดยางเส้นเล็ก ๆ อากาศหนาวเย็น สองข้างทางเรียงรายด้วยต้นยางคล้ายแถวทหารคอยต้อนรับการเดินทางของชายผู้ปั่นจักรยานมือสอง ๓ สปีดซึ่งซื้อมาจากร้านซ่อมจักรยานหน้าโรงพยาบาลสวนดอกในราคา ๑,๕๐๐ บาทพร้อมถุงทะเลหนักอึ้งและถุงใส่เต็นท์มัดแน่นรวมกันอยู่บนตะแกรงหลัง  ความตื่นเต้นและความสุขที่ได้ออกผจญภัยไปต่างประเทศด้วยจักรยานโถโถมเข้าหาขณะมุ่งหน้าสู่ด่านสะเดา...

หนังสือเดินทางที่ผมถือนั้นนับเป็นฉบับที่สอง มันมีขนาดใหญ่กว่าที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ผมสแกนเปรียบเทียบให้เพื่อน ๆ ได้ดูด้วยดังนี้....


รูปใน passport ยังดูเอ๊าะ ๆ อยู่เลย...อิอิ


ผมปั่นได้ไม่เร็วหรอกครับ รถโครงเหล็กมันหนัก แถมสัมภาระก็ใช่เล่น เดินทางด้วยความเร็วไม่ถึง ๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมน่าจะถึงชายแดนไทย-มาเลเซียประมาณ ๑๐ โมงเช้า...

ด่านสะเดาสมัยนั้นยังเป็นแค่อาคารเล็ก ๆ คงหายากสำหรับคนไทยที่จะปั่นจักรยานเข้ามาเลเซีย ทุกอย่างราบรื่นดี ไม่มีปัญหา ผมได้รับการประทับตราให้เดินทางออกจากประเทศไทยแล้วจ้า


ปั่นจักรยานผ่านด่านสะเดาเข้าสู่ประเทศมาเลเซีย...ผมสั่งตัวเองให้เดินทางถีงอลอร์สตาร์ (Alor Setar) ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น