เดินแบกเป้ตรงลิ่วไปยัง passport control ของ ตม. เขมรซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ มีนักท่องเที่ยวฝรั่งยืนต่อคิวอยู่หลายแถว ผมตรงไปต่อแถวแรก เจ้าหน้าที่เขมรยืนอยู่ด้านนอกคนหนึ่งยื่นมือมาขอหนังสือเดินทางของผมไปเปิดดู (เลือกทำกับคนไทย แต่กับฝรั่งไม่กล้า) รู้แล้วหละว่าจะมารูปไหน พักนึงเค้าก็เอ่ยปากว่า "๒๐๐ บาท ไม่ต้องรอ" ผมบอกทันทีว่า "ไม่มี" เจ้าหน้าที่ ตม.เขมรส่งหนังสือเดินทางคืนให้ แล้วบอกว่าไม่มีก็ต้องคอย...
ก็ไม่เห็นต้องคอยอะไร แค่ ๓-๔ คนที่อยู่ข้างหน้า ใช้เวลาไม่นานถึงคิว ผมไม่ต้องสแกนลายนิ้วมือด้วยซ้ำ เพียงครู่เดียวเค้าก็ประทับตราขาออกให้...
ผมรับหนังสือเดินทางคืนมา แล้วก้าวเดินต่อไปยัง nowhere land...
ข้ามสะพาน มองเห็นลำน้ำที่อยู่เบื้องล่าง...
เข้าใกล้ฝั่งไทยแล้ว....
นั่นไง...ประเทศไทย! ผมเดินไปตามช่อง... สู่เคาน์เตอร์กองตรวจคนเข้าเมือง
ยื่นหนังสือเดินทางที่มี arrival card แนบอยู่ให้เจ้าหน้าที่ ใช้เวลาไม่นานก็ได้รับการประทับตราให้กลับเข้าเมืองไทย...
เดินออกทางด้านขวาสู่อ้อมกอดผืนแผ่นดินไทย มองไม่เห็นฝรั่งที่นั่งรถมาด้วยกันตามมาแม้แต่คนเดียว! คงต้องหาคำตอบและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตนเองให้ได้... ผมสอบถามเจ้าหน้าที่ไทยที่อยู่ในเครื่องแบบพร้อมเอาสติกเกอร์ให้ดู เค้าบอกว่า "สติกเกอร์เหรอ เห็นมีรถตู้มาจอดรับนะ" พร้อมกับชี้ให้ไปถามชาย ๒ คนซึ่งยืนคอยอยู่บนทางเท้า...
ชายสวมเสื้อสีชมพูบอกให้ผมยืนรออยู่ตรงนี้แหละ ผมปลดเจ้าแรดลงวางไว้...
เห็นเค้าเดินไปสั่งขนมหวานที่แม่ค้าล้อเข็น...
ถือถ้วยขนมกลับมา โห...ถั่วดำต้มน้ำกะทิใส่น้ำแข็ง! ของโปรดซะด้วย ผมตามไปซื้อมากินด้วย ๑ ถ้วย...๑๐ บาทเอง
กินเสร็จ ยืนรออีกพักใหญ่ ชายคนเดิมก็เข้ามาบอกว่า "พี่เดินไปขึ้นรถเองดีกว่า" แล้วก็ชี้ให้เดินข้ามไปยังถนนข้างหน้าโน่น...
บอกให้เดินไปอีก ๑๕๐ เมตร จะเห็นรถตู้จอดอยู่ตรงด้านขวามือ เอาแล้วซิ...จะให้เดินหารถเองหรือเนี่ย? แล้วเจ้าสติกเกอร์นี่หละ?
พ่อหนุ่มทำท่าจะแกะสติกเกอร์ติดให้ที่อกเสื้อ แต่ผมบอกว่าถือไปดีกว่า...จะได้ไม่ตก ผมเดินไปจนถึงสี่แยก เห็นรถตู้จอดอยู่ทางด้านขวามือ รีบชูสติกเกอร์เข้าไปถามหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ที่นั่น "ใช่แล้ว...คันนี้แหละ แล้วพี่จะไปลงที่ไหน? มีแต่อนุสาวรีย์นะ" เด็กรถบอกพร้อมกับชี้ให้ผมนำเป้เข้าไปนั่งเบาะด้านหลังคนขับได้เลย ความสับสนยังคงเกาะกุม...ผมไม่แน่ใจว่าขึ้นรถผิดคันหรือเปล่า? ไม่มีฝรั่งตามมาเลย เด็กรถบอกว่า"พี่ไปก่อนได้ พวกนั้นให้ไปทีหลัง" ได้ยินแล้วก็ยิ่งงง สงสัยว่ารถตู้จะรู้ได้อย่างไรว่ามีผู้โดยสารมาจากเสียมเรียบกี่คน? แล้วจะคิดตังค์กับ Capitol Tours ได้อย่างไร? อีกอย่างนึง...รถคันนี้ก็เป็นรถที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารระหว่างอนุสาวรีย์ชัยฯ - ตลาดโรงเกลือ แล้วผมจะต้องควักตังค์จ่ายค่าโดยสารอีกหรือเปล่า?
ไม่นานนักคนขับก็มาถึงพร้อมกับผู้โดยสารอีก ๔ คน ....
โซเฟอร์สต้าร์ทรถแล้วพาผู้โดยสารออกจากตลาดโรงเกลือทันที ถึงสระแก้วประมาณเที่ยง ไปจอดเติมแก๊สที่ปั้ม ปตท. ผู้โดยสารต้องลงจากรถ ผมไปเข้าห้องน้ำแล้วซื้อข้าวเหนียวปิ้ง ๑ อัน (๑๒ บาท) มากินแก้หิว
รถออกวิ่งต่อไปอีก โดยมีผู้โดยสาร ๕ คน คนขับเป็นหนุ่มใจเย็น พูดจาดี ไปแวะจอดที่มินิมาร์ท ให้เวลาอีก ๑๐ นาทีสำหรับเข้าห้องน้ำและซื้อของกิน ผมยังพกความสงสัยมาด้วย จึงหาโอกาสเข้าไปสนทนากับคนขับดังนี้...
"ผ่านดอนเมืองหรือเปล่า?"สรุปแล้วผมไม่ได้ขึ้นรถผิด รถเขมรที่นั่งมาก็ไม่ได้ทิ้งผู้โดยสาร เพียงแต่ไม่มีข้อมูลให้ทราบเท่านั้นเอง ค่ารถเสียมเรียบ-กรุงเทพฯ ๓๕๐ บาทที่ผมจ่ายไปก็ไม่มีการเรียกเก็บเพิ่ม...
"ไม่ครับ ไปทางดินแดง"
"ขอถามหน่อย ช่วยตอบตามจริงด้วยนะ ผมซื้อตั๋วจากเสียมเรียบบอกไปลงกรุงเทพฯ แล้วได้สติกเกอร์มาใบนึง กลัวว่าจะขึ้นรถผิด เนี่ยถึงกรุงเทพฯ แล้ว...ต้องจ่ายอีกมั้ย?"
"ไม่ต้องจ่ายครับ เป็นรถบริษัทเดียวกัน แต่...ถ้าจะทิปก็ได้" (หัวเราะ)
ผมลงรถที่อนุสาวรีย์ชัยฯ
แล้วต่อรถเมล์สาย 77 (๙ บาท) ไปลงหมอชิต 2
นั่งรถ ป.2 ของ บขส. (๑๙๔ บาท) ไปลงอุตรดิตถ์...
เช้าวันรุ่งขึ้นนั่งรถไฟฟรีขบวน 408 ไปลงสถานีห้างฉัตร แล้วเดิน ๔ กิโลเมตรกลับถึงบ้าน...
จบแล้วครับ... สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวสุรินทร์และเสียมเรียบ ๑๐ วันด้วยค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ๓,๘๒๐ บาท!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น