วันนี้กลับมาเล่าเรื่อง “ภูดู่” อีกครั้ง… เพื่อน ๆ คงไม่ถือสาที่ผมเขียนย้อนกลับไปกลับมา ด้วยเจตนาว่าข้อมูลใดมีประโยชน์ก็อยากนำมาบอกต่อ!
ระยะแค่เพียง ๔-๕ กิโลเมตรจากสามแยก (1) ไปยังด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของไทย เส้นทางอาจต้องขึ้นเขาอยู่บ้างแต่ก็ไม่สูงชันนัก มีเพียงจุดเดียวเท่านั้นที่ผมต้องจูงจักรยานเดินขึ้นเนิน จากนั้นก็ปั่นต่อไปได้จนถึงที่ทำการ ตม. ของไทย (5)...
ปั่นตรงไปยังตัวอาคาร...
ทางด้านซ้ายเป็นที่ทำการตรวจคนเข้าเมือง "ขาออก" (A)
ทางด้านขวาเป็นอาคารศุลกากร (B) ผมนำจักรยานไปจอดไว้ที่นั่น...
แล้วไปขอการ์ดจากเจ้าหน้าที่มากรอก...
อย่าลืมพกปากกาไปด้วยนะครับ!
เค้ามีม้าหินอยู่ ๒ ชุดให้นั่งเขียน...
ระหว่างนั้นก็มีสามีภรรยาอุ้มลูกชายตัวเล็กยืนรอทำเรื่องผ่านแดนอยู่เช่นกัน ได้คุยกันพอรู้จุดหมายของกันและกัน..ผมทราบว่าชายไทยผู้มีอัชฌาสัยดีจากพิษณุโลกกำลังขับรถพาภรรยาคนลาวไปเยี่ยมบ้านที่หลวงพระบางในช่วงสงกรานต์!
ผมกรอกเอกสารเสร็จแล้วก็นำไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ ตม. พร้อมกับหนังสือเดินทาง ใช้เวลาไม่นาน...เค้าก็ประทับตราขาออกให้ (ไม่ต้องเสียค่าอะไรทั้งนั้น) รับหนังสือเดินทางคืนมาแล้วก็ต้องตรวจสอบให้ดีว่าถูกต้องหรือไม่ (ที่สนามบินดอนเมืองเจ้าหน้าที่เคยเก็บเอกสารผิดไป ผมไม่ได้เช็คให้ดี จะขึ้นเครื่องแล้วยังต้องย้อนกลับไปแก้ไข) อย่าลืมว่าข้อผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ!
ขณะที่ผมเดินไปยังรถจักรยานเพื่อจะปั่นต่อไปยังฝั่งลาว เจ้าหน้าที่ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะยาวบอกให้นำจักรยานไปแจ้งกับศุลกากรเสียก่อน....
ตรงช่องหน้าต่างที่เขียนว่า CUSTOMS นั่น จะมีเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งคอยออกใบอนุญาตให้นำยานพาหนะออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งถ้าเป็นจักรยานแล้วปกติไม่ทำก็ได้ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในต่างแดน ทำไว้ก็ไม่เสียหลาย ขากลับเข้าไทยก็นำเอกสารดังกล่าวยื่นให้ด่านศุลกากร จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องภาษีด้วย...
ผมไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอะไรทั้งนั้น! เจ้าหน้าที่หนุ่มซึ่งทราบว่าชายแก่กำลังจะปั่นจักรยานไปไกลถึงเมืองหงสากล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วงในเรื่องอากาศร้อน! ผมขอบคุณก่อนเริ่มปั่นออกไปยังด่านลาวซึ่งแต่ก่อนใช้ชื่อว่า "ด่านผาแก้ว"
หยุดถ่ายภาพเจ้าเพื่อนยากไว้ ๑ บาน...ก่อนทะยานเข้าสู่ no man's land!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น