วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พี่อาลี ผู้อารี - เจอกันแล้ว!

พอลงจากรถเมล์สาย 136...ผมเดินข้ามถนนไปถามชายคนหนึ่งถึงทางไปสุขุมวิท ๑๑  เค้าบอกให้ตรงไปเรื่อย ๆ จนถึงสี่แยกไฟแดง เลี้ยวขวาแล้วเดินไปตามถนนสุขุมวิท  เจ้าซอย ๑๑ จะอยู่ทางด้านขวามือ!


ออกเดินไปได้ไม่ไกล เห็นถนนอยู่ทางด้านขวามือ  ผมจำได้ว่าสมัยพักอยู่แถวนี้ เคยใช้เป็นทางลัดขี่จักรยานไปทำงานที่โรงเรียนดนตรีศศิริยะ แม้จะเป็นแค่ภาพเลือนลาง แต่ก็มั่นใจว่ามันจะต้องพาผมไปถึงสุขุมวิทซอย ๑๑ จนได้  ขณะเดินไปตามถนน ท้องฟ้ายังคงมืดมน ผู้คนยังหลับใหล บ้านเรือนสองข้างทางปิดเงียบ ผมเห็น รปภ. คนหนึ่งจึงหยุดถามทางไปสุขุมวิท ๑๑   "ไทยยาม" บอกให้เดินตรงไปจนถึงสามแยก แนะนำให้เลี้ยวซ้ายไปออกถนนใหญ่แล้วเดินขึ้นไปจนเจอซอย ๑๑  จะเลี้ยวซ้ายก็ได้นะ...แต่กลัวว่าจะหลงมากกว่า!

ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยไม่ล้า ผมเดินหน้าลูกเดียว!  พอถึงถนนสุขุมวิทก็เลี้ยวขวา ทีนี้ก็ได้เห็นภาพผู้คนกำลังเริ่มต้นชีวิตวันใหม่ แผงอาหารข้างทางกำลังเริ่มตั้งโต๊ะเก้าอี้  เคยได้ยินมาว่าเดี๋ยวนี้กรุงเทพมีแต่แขกและพวกฝรั่งผิวดำจากอเมริกาใต้ วันนี้ผมได้มาเห็นกับตา มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ  ยิ่งเดินใกล้ซอย ๑๑ เข้าไป ก็ยิ่งได้เห็นฝรั่งสีดำตกตามข้างบาทวิถี ทำให้รู้สึกคล้ายกับว่าไม่ได้เดินอยู่ในเมืองไทย

พอพบสุขุมวิทซอย ๑๑ ผมเลี้ยวขวาเดินเข้าไป ผ่านโรงแรม ร้านค้าและสถานบริการนักท่องเที่ยวซึ่งยังคงปิดอยู่  อ้าว... ลืมชื่อโรงแรมไปซะแล้ว จำได้แต่เพียงคำว่า Solitaire  ที่จำได้เพราะเป็นชื่อเพลงของ The Carpenters  ผมมองหาป้ายชื่อโรงแรมที่มีคำนี้ แต่ก็ไม่เห็น  เดินไปจนสุดซอย เจอทางแยก ผมเลือกเดินไปทางซ้าย เจอ Taxi คันหนึ่งจอดอยู่  ถามคนขับถึงชื่อโรงแรมที่มีคำว่า Solitaire ว่ามันอยู่ที่ไหน?  สารถีบอกว่า อ๋อ... President Solitaire  ให้เดินย้อนกลับไปอีกทาง แล้วเลี้ยวซ้ายตรงสามแยกแรก โรงแรมนี้อยู่ทางขวามือ

ผมเดินไปตามทางที่บอก ก็เห็นโรงแรม President Solitaire อยู่ข้างหน้า บนถนนที่ยังคงเงียบเชียบปราศจากผู้สัญจร จะมีก็เพียงชายชราจากเมืองรถม้าเท่านั้น!


มองผ่านกระจกเข้าไป ผมเห็นล็อบบี้ยังคงปิดไฟมืด ที่หน้าฟร้อนท์มีพนักงานชายคนหนึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์  ยืนลังเลอยู่หน้าโรงแรมอยู่นาน นาฬิกาบอกเวลาตีห้าเก้านาที ลองตัดสินใจโทรขึ้นไปหาพี่อาลีตามเบอร์ที่ได้มา เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ!  คงกำลังหลับสบาย!  ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วโทรไปอีก ๒-๓ ครั้ง  ก็ยังเงียบเหมือนเดิม  ตัดสินใจส่งข้อความไปให้อีกครั้ง บอกว่ามาอยู่หน้าโรงแรมแล้ว

รอต่อไปจนสิ้นความอดทน ผมผลักประตูกระจกเข้าไปหาพนักงานที่นั่งอยู่  ถูกถามว่ามารับลูกค้าเหรอ?...ผมปฏิเสธ แล้วแจ้งว่ามาหาเพื่อนชาวบังกลาเทศซึ่งนัดกันไว้แล้ว ชายหนุ่มถามถึงชื่อและทำท่าจะคีย์หาข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ ผมบอกไม่เป็นไร  เมื่อกี้โทรหาแล้วแต่ยังไม่รับสาย คงกำลังหลับสบาย ไม่ได้รีบร้อนอะไร ผมขอนั่งรอในล็อบบี้ก่อนก็แล้วกัน


นั่งรออยู่บนเก้าอี้หน้าล็อบบี้ได้ไม่นาน พนักงานก็มาเปิดไฟขับไล่ความมืดออกไป ผมถ่ายรูปได้แล้ว...


๕.๒๕ น. ผมโทรถึงพี่อาลีอีก แต่ก็ยังไม่รับอยู่ดี  พอวางสาย... พี่อาลีโทรกลับมาด้วยเสียงงัวเงีย!  ได้ยินเสียงพี่อาลีแล้ว อีกไม่นานผมคงได้พบตัวจริง!!!


ผมนั่งมองไปที่ประตู รออีกประมาณ ๒๐ นาที พี่อาลีก็โผล่ออกมา...


รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหา ได้ยินพี่อาลีเรียกว่าน้องชาย ผมโผเข้ากอด ลืมความตั้งใจที่จะยกมือไหว้หรือจับมือเสียสิ้น!!  เช้าวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๖ ที่สนามบินกรุงธากา พี่อาลีกอดอำลาและอวยพรให้ผมเดินทางไปยังกัลกัตตาด้วยดี  ผ่านมาได้ ๓๑ ปี   ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๗...พี่อาลีก็ได้มอบกอดนั้นให้ผมอีกครั้ง ณ ล็อบบี้โรงแรม President Solitaire!

ลูกน้องของพี่อาลีตามมาด้วย ๑ คน เรานั่งคุยกันอยู่ที่เก้าอี้ล็อบบี้ประมาณเกือบชั่วโมง พี่อาลีก็บอกให้ไปหาอะไรกินกันก่อน คงอยากให้ผมได้กินอะไรนั่นเอง พอรู้ว่าผมกินขนมปังและนมมาแล้ว พี่อาลีก็ยังคงอยากพาไปหากาแฟดื่มอยู่ดี   เพิ่ง ๖ โมงกว่าเอง เราพากันเดินออกไปจนเกือบถึงปากซอย พอดีมีร้านอาหารอยู่ทางซ้ายมือ จึงแวะเข้าไปสั่งกาแฟมาดื่มกันคนละถ้วย เริ่มต้นคุยถึงสารทุกข์สุขดิบ ความหลังครั้งก่อน และความเป็นอยู่ในปัจจุบัน

เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมมารู้อีกทีเมื่อเห็นว่าแขกที่นั่งกินอาหารเช้าอยู่ที่นั่นหายไปหมดแล้ว เหลือแต่เราสามคนยังคงนั่งคุยกันอยู่ตรงระเบียง...


ได้พบกับพี่อาลีอีกครั้งหลังจาก ๓๑ ปี  วันนี้ต้องนำภาพในอดีตมาเปรียบเทียบกับปัจจุบัน...



ไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น