ได้เวลากลับผมต้องตัดสินใจว่าจะนั่งรถไฟหรือรถยนต์ดี? สำหรับผม มีรถไฟอยู่ขบวนเดียวคือ รถไฟฟรีขบวน 109 ออกจากหัวลำโพงเวลา ๑๒.๔๕ น. ถึงลำปางประมาณตี ๒!
หลังจากร่ำลาพี่อารีและภรรยา กับคณะนักหนังสือพิมพ์อีก ๑๑ คน ผมรีบสาวเท้าฉับ ๆ ออกจากโรงแรมสู่ถนนใหญ่ ถึงปากซอย ดูเวลาบนมือถือพบว่าบ่ายโมงซะแล้ว! หมดสิทธิ์นั่งรถไฟฟรี! ผมต้องเปลี่ยนทิศ กลับไปขึ้นรถ บขส.ที่สถานีขนส่งหมอชิต 2!
เดินไปขึ้นรถเมล์สาย 136 ที่ซอยอโศก คราวนี้ต้องจ่ายค่าโดยสาร ๖.๕๐ บาท โชคดีที่ได้นั่งตลอดทาง มีโอกาสได้กดชัตเตอร์ถ่ายภาพบรรยากาศรอบข้างไว้ได้บ้าง...
ถึงสถานีขนส่งเวลาบ่าย ๒ โมง ไปสอบถามที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. พบว่ามีรถไปลำปางออกเวลา ๑๖.๓๐ น. ค่าโดยสาร ๒๔๓ บาทเหมือนเดิม โอครับ...รอได้! ผมจ่ายตังค์พร้อมยื่นบัตรประชาชนเพื่อรับสิทธิ์ผู้สูงวัย
ได้ตั๋วแล้วก็ไปนั่งรอในห้องโถงปรับอากาศขนาดใหญ่...
การนั่งรอแค่ ๒ ชั่วโมงมิได้เป็นเรื่องลำบากยากเย็นสำหรับผม เคยนั่งรอรถไปเวียงภูคาที่สถานีขนส่งหลวงน้ำทากว่า ๔ ชั่วโมงก็เคยทำมาแล้ว! ที่นี่ผมได้เห็นภาพผู้คนมากมายที่ผ่านมาและผ่านไป ทำให้ไม่น่าเบื่อ!
๑๖.๐๐ น. ลุกจากเก้าอี้ คว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง เดินออกจากตัวอาคารควานหาชานชาลา 6 จนเจอ...
รถจอดรออยู่แล้ว...
ขึ้นนั่่งได้เลย แอร์เย็น ๆ คันนี้ไม่ได้เป็นรถสองชั้นเหมือนที่นั่งมา
รถเคลื่อนออกจากสถานีขนส่งเวลา ๑๖.๔๐ น. มุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่นครลำปาง ไปจอดให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำและรับประทานอาหารตอนดึกที่จุดเดิม...
ถึงลำปางตี ๒ ผมยังไปรับรถมอเตอร์ไซค์ที่ฝากไว้ไม่ได้ ต้องรอถึงเช้า ที่พักผู้โดยสารจึงกลายเป็นที่นอนพร้อมกับผู้โดยสารอื่น ๆ
เช้าแล้วจ้า!
เดินไปล้างหน้าล้างตาและเข้าห้องน้ำที่ปั้มน้ำมัน!
รอจนได้รถจักรยานยนต์ขี่กลับบ้านทางซุปเปอร์ไฮเวย์ลำปาง-เชียงใหม่ ผมแวะถ่ายภาพบ้านเก่าไว้ ๑ บาน...
ถึงบ้าน ๖ โมงพอดี! สิ้นสุดการเดินทางไปพบพี่อาลี ผู้อารี ใช้เวลาทั้งสิ้น ๓๗ ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายรวม ๕๙๘.๕๐ บาท (ค่ารถ บขส. ๔๘๖ บาท - ค่ารถเมล์ ๖.๕๐ บาท - ค่าอาหารและน้ำดื่ม ๗๐ บาท - ค่าใช้ห้องน้ำ ๖ บาท- ค่าฝากรถ ๓๐ บาท)
จบแล้ว! จากนี้ไปก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีโอกาสไปเจอพี่อาลีอีกหรือเปล่า?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น