ได้เวลากลับผมต้องตัดสินใจว่าจะนั่งรถไฟหรือรถยนต์ดี? สำหรับผม มีรถไฟอยู่ขบวนเดียวคือ รถไฟฟรีขบวน 109 ออกจากหัวลำโพงเวลา ๑๒.๔๕ น. ถึงลำปางประมาณตี ๒!
หลังจากร่ำลาพี่อารีและภรรยา กับคณะนักหนังสือพิมพ์อีก ๑๑ คน ผมรีบสาวเท้าฉับ ๆ ออกจากโรงแรมสู่ถนนใหญ่ ถึงปากซอย ดูเวลาบนมือถือพบว่าบ่ายโมงซะแล้ว! หมดสิทธิ์นั่งรถไฟฟรี! ผมต้องเปลี่ยนทิศ กลับไปขึ้นรถ บขส.ที่สถานีขนส่งหมอชิต 2!
เดินไปขึ้นรถเมล์สาย 136 ที่ซอยอโศก คราวนี้ต้องจ่ายค่าโดยสาร ๖.๕๐ บาท โชคดีที่ได้นั่งตลอดทาง มีโอกาสได้กดชัตเตอร์ถ่ายภาพบรรยากาศรอบข้างไว้ได้บ้าง...
ถึงสถานีขนส่งเวลาบ่าย ๒ โมง ไปสอบถามที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. พบว่ามีรถไปลำปางออกเวลา ๑๖.๓๐ น. ค่าโดยสาร ๒๔๓ บาทเหมือนเดิม โอครับ...รอได้! ผมจ่ายตังค์พร้อมยื่นบัตรประชาชนเพื่อรับสิทธิ์ผู้สูงวัย
ได้ตั๋วแล้วก็ไปนั่งรอในห้องโถงปรับอากาศขนาดใหญ่...
การนั่งรอแค่ ๒ ชั่วโมงมิได้เป็นเรื่องลำบากยากเย็นสำหรับผม เคยนั่งรอรถไปเวียงภูคาที่สถานีขนส่งหลวงน้ำทากว่า ๔ ชั่วโมงก็เคยทำมาแล้ว! ที่นี่ผมได้เห็นภาพผู้คนมากมายที่ผ่านมาและผ่านไป ทำให้ไม่น่าเบื่อ!
๑๖.๐๐ น. ลุกจากเก้าอี้ คว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง เดินออกจากตัวอาคารควานหาชานชาลา 6 จนเจอ...
รถจอดรออยู่แล้ว...
ขึ้นนั่่งได้เลย แอร์เย็น ๆ คันนี้ไม่ได้เป็นรถสองชั้นเหมือนที่นั่งมา
รถเคลื่อนออกจากสถานีขนส่งเวลา ๑๖.๔๐ น. มุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่นครลำปาง ไปจอดให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำและรับประทานอาหารตอนดึกที่จุดเดิม...
ถึงลำปางตี ๒ ผมยังไปรับรถมอเตอร์ไซค์ที่ฝากไว้ไม่ได้ ต้องรอถึงเช้า ที่พักผู้โดยสารจึงกลายเป็นที่นอนพร้อมกับผู้โดยสารอื่น ๆ
เช้าแล้วจ้า!
เดินไปล้างหน้าล้างตาและเข้าห้องน้ำที่ปั้มน้ำมัน!
รอจนได้รถจักรยานยนต์ขี่กลับบ้านทางซุปเปอร์ไฮเวย์ลำปาง-เชียงใหม่ ผมแวะถ่ายภาพบ้านเก่าไว้ ๑ บาน...
ถึงบ้าน ๖ โมงพอดี! สิ้นสุดการเดินทางไปพบพี่อาลี ผู้อารี ใช้เวลาทั้งสิ้น ๓๗ ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายรวม ๕๙๘.๕๐ บาท (ค่ารถ บขส. ๔๘๖ บาท - ค่ารถเมล์ ๖.๕๐ บาท - ค่าอาหารและน้ำดื่ม ๗๐ บาท - ค่าใช้ห้องน้ำ ๖ บาท- ค่าฝากรถ ๓๐ บาท)
จบแล้ว! จากนี้ไปก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีโอกาสไปเจอพี่อาลีอีกหรือเปล่า?
บันทึกการท่องโลกที่ค่อนข้างแตกต่าง ด้วยงบประมาณจำกัดแต่ใจเกินร้อย พร้อมที่จะเดินไปข้างหน้า เพื่อนำประสบการณ์กลับมาฝาก!
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผู้อารี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผู้อารี แสดงบทความทั้งหมด
วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557
พี่อาลี ผู้อารี - เจอกันแล้ว!
พอลงจากรถเมล์สาย 136...ผมเดินข้ามถนนไปถามชายคนหนึ่งถึงทางไปสุขุมวิท ๑๑ เค้าบอกให้ตรงไปเรื่อย ๆ จนถึงสี่แยกไฟแดง เลี้ยวขวาแล้วเดินไปตามถนนสุขุมวิท เจ้าซอย ๑๑ จะอยู่ทางด้านขวามือ!
ออกเดินไปได้ไม่ไกล เห็นถนนอยู่ทางด้านขวามือ ผมจำได้ว่าสมัยพักอยู่แถวนี้ เคยใช้เป็นทางลัดขี่จักรยานไปทำงานที่โรงเรียนดนตรีศศิริยะ แม้จะเป็นแค่ภาพเลือนลาง แต่ก็มั่นใจว่ามันจะต้องพาผมไปถึงสุขุมวิทซอย ๑๑ จนได้ ขณะเดินไปตามถนน ท้องฟ้ายังคงมืดมน ผู้คนยังหลับใหล บ้านเรือนสองข้างทางปิดเงียบ ผมเห็น รปภ. คนหนึ่งจึงหยุดถามทางไปสุขุมวิท ๑๑ "ไทยยาม" บอกให้เดินตรงไปจนถึงสามแยก แนะนำให้เลี้ยวซ้ายไปออกถนนใหญ่แล้วเดินขึ้นไปจนเจอซอย ๑๑ จะเลี้ยวซ้ายก็ได้นะ...แต่กลัวว่าจะหลงมากกว่า!
ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยไม่ล้า ผมเดินหน้าลูกเดียว! พอถึงถนนสุขุมวิทก็เลี้ยวขวา ทีนี้ก็ได้เห็นภาพผู้คนกำลังเริ่มต้นชีวิตวันใหม่ แผงอาหารข้างทางกำลังเริ่มตั้งโต๊ะเก้าอี้ เคยได้ยินมาว่าเดี๋ยวนี้กรุงเทพมีแต่แขกและพวกฝรั่งผิวดำจากอเมริกาใต้ วันนี้ผมได้มาเห็นกับตา มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ยิ่งเดินใกล้ซอย ๑๑ เข้าไป ก็ยิ่งได้เห็นฝรั่งสีดำตกตามข้างบาทวิถี ทำให้รู้สึกคล้ายกับว่าไม่ได้เดินอยู่ในเมืองไทย
พอพบสุขุมวิทซอย ๑๑ ผมเลี้ยวขวาเดินเข้าไป ผ่านโรงแรม ร้านค้าและสถานบริการนักท่องเที่ยวซึ่งยังคงปิดอยู่ อ้าว... ลืมชื่อโรงแรมไปซะแล้ว จำได้แต่เพียงคำว่า Solitaire ที่จำได้เพราะเป็นชื่อเพลงของ The Carpenters ผมมองหาป้ายชื่อโรงแรมที่มีคำนี้ แต่ก็ไม่เห็น เดินไปจนสุดซอย เจอทางแยก ผมเลือกเดินไปทางซ้าย เจอ Taxi คันหนึ่งจอดอยู่ ถามคนขับถึงชื่อโรงแรมที่มีคำว่า Solitaire ว่ามันอยู่ที่ไหน? สารถีบอกว่า อ๋อ... President Solitaire ให้เดินย้อนกลับไปอีกทาง แล้วเลี้ยวซ้ายตรงสามแยกแรก โรงแรมนี้อยู่ทางขวามือ
ผมเดินไปตามทางที่บอก ก็เห็นโรงแรม President Solitaire อยู่ข้างหน้า บนถนนที่ยังคงเงียบเชียบปราศจากผู้สัญจร จะมีก็เพียงชายชราจากเมืองรถม้าเท่านั้น!
มองผ่านกระจกเข้าไป ผมเห็นล็อบบี้ยังคงปิดไฟมืด ที่หน้าฟร้อนท์มีพนักงานชายคนหนึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์ ยืนลังเลอยู่หน้าโรงแรมอยู่นาน นาฬิกาบอกเวลาตีห้าเก้านาที ลองตัดสินใจโทรขึ้นไปหาพี่อาลีตามเบอร์ที่ได้มา เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ! คงกำลังหลับสบาย! ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วโทรไปอีก ๒-๓ ครั้ง ก็ยังเงียบเหมือนเดิม ตัดสินใจส่งข้อความไปให้อีกครั้ง บอกว่ามาอยู่หน้าโรงแรมแล้ว
รอต่อไปจนสิ้นความอดทน ผมผลักประตูกระจกเข้าไปหาพนักงานที่นั่งอยู่ ถูกถามว่ามารับลูกค้าเหรอ?...ผมปฏิเสธ แล้วแจ้งว่ามาหาเพื่อนชาวบังกลาเทศซึ่งนัดกันไว้แล้ว ชายหนุ่มถามถึงชื่อและทำท่าจะคีย์หาข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ ผมบอกไม่เป็นไร เมื่อกี้โทรหาแล้วแต่ยังไม่รับสาย คงกำลังหลับสบาย ไม่ได้รีบร้อนอะไร ผมขอนั่งรอในล็อบบี้ก่อนก็แล้วกัน
นั่งรออยู่บนเก้าอี้หน้าล็อบบี้ได้ไม่นาน พนักงานก็มาเปิดไฟขับไล่ความมืดออกไป ผมถ่ายรูปได้แล้ว...
๕.๒๕ น. ผมโทรถึงพี่อาลีอีก แต่ก็ยังไม่รับอยู่ดี พอวางสาย... พี่อาลีโทรกลับมาด้วยเสียงงัวเงีย! ได้ยินเสียงพี่อาลีแล้ว อีกไม่นานผมคงได้พบตัวจริง!!!
ผมนั่งมองไปที่ประตู รออีกประมาณ ๒๐ นาที พี่อาลีก็โผล่ออกมา...
รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหา ได้ยินพี่อาลีเรียกว่าน้องชาย ผมโผเข้ากอด ลืมความตั้งใจที่จะยกมือไหว้หรือจับมือเสียสิ้น!! เช้าวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๖ ที่สนามบินกรุงธากา พี่อาลีกอดอำลาและอวยพรให้ผมเดินทางไปยังกัลกัตตาด้วยดี ผ่านมาได้ ๓๑ ปี ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๗...พี่อาลีก็ได้มอบกอดนั้นให้ผมอีกครั้ง ณ ล็อบบี้โรงแรม President Solitaire!
ลูกน้องของพี่อาลีตามมาด้วย ๑ คน เรานั่งคุยกันอยู่ที่เก้าอี้ล็อบบี้ประมาณเกือบชั่วโมง พี่อาลีก็บอกให้ไปหาอะไรกินกันก่อน คงอยากให้ผมได้กินอะไรนั่นเอง พอรู้ว่าผมกินขนมปังและนมมาแล้ว พี่อาลีก็ยังคงอยากพาไปหากาแฟดื่มอยู่ดี เพิ่ง ๖ โมงกว่าเอง เราพากันเดินออกไปจนเกือบถึงปากซอย พอดีมีร้านอาหารอยู่ทางซ้ายมือ จึงแวะเข้าไปสั่งกาแฟมาดื่มกันคนละถ้วย เริ่มต้นคุยถึงสารทุกข์สุขดิบ ความหลังครั้งก่อน และความเป็นอยู่ในปัจจุบัน
เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมมารู้อีกทีเมื่อเห็นว่าแขกที่นั่งกินอาหารเช้าอยู่ที่นั่นหายไปหมดแล้ว เหลือแต่เราสามคนยังคงนั่งคุยกันอยู่ตรงระเบียง...
ได้พบกับพี่อาลีอีกครั้งหลังจาก ๓๑ ปี วันนี้ต้องนำภาพในอดีตมาเปรียบเทียบกับปัจจุบัน...
ไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้...
ออกเดินไปได้ไม่ไกล เห็นถนนอยู่ทางด้านขวามือ ผมจำได้ว่าสมัยพักอยู่แถวนี้ เคยใช้เป็นทางลัดขี่จักรยานไปทำงานที่โรงเรียนดนตรีศศิริยะ แม้จะเป็นแค่ภาพเลือนลาง แต่ก็มั่นใจว่ามันจะต้องพาผมไปถึงสุขุมวิทซอย ๑๑ จนได้ ขณะเดินไปตามถนน ท้องฟ้ายังคงมืดมน ผู้คนยังหลับใหล บ้านเรือนสองข้างทางปิดเงียบ ผมเห็น รปภ. คนหนึ่งจึงหยุดถามทางไปสุขุมวิท ๑๑ "ไทยยาม" บอกให้เดินตรงไปจนถึงสามแยก แนะนำให้เลี้ยวซ้ายไปออกถนนใหญ่แล้วเดินขึ้นไปจนเจอซอย ๑๑ จะเลี้ยวซ้ายก็ได้นะ...แต่กลัวว่าจะหลงมากกว่า!
ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยไม่ล้า ผมเดินหน้าลูกเดียว! พอถึงถนนสุขุมวิทก็เลี้ยวขวา ทีนี้ก็ได้เห็นภาพผู้คนกำลังเริ่มต้นชีวิตวันใหม่ แผงอาหารข้างทางกำลังเริ่มตั้งโต๊ะเก้าอี้ เคยได้ยินมาว่าเดี๋ยวนี้กรุงเทพมีแต่แขกและพวกฝรั่งผิวดำจากอเมริกาใต้ วันนี้ผมได้มาเห็นกับตา มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ยิ่งเดินใกล้ซอย ๑๑ เข้าไป ก็ยิ่งได้เห็นฝรั่งสีดำตกตามข้างบาทวิถี ทำให้รู้สึกคล้ายกับว่าไม่ได้เดินอยู่ในเมืองไทย
พอพบสุขุมวิทซอย ๑๑ ผมเลี้ยวขวาเดินเข้าไป ผ่านโรงแรม ร้านค้าและสถานบริการนักท่องเที่ยวซึ่งยังคงปิดอยู่ อ้าว... ลืมชื่อโรงแรมไปซะแล้ว จำได้แต่เพียงคำว่า Solitaire ที่จำได้เพราะเป็นชื่อเพลงของ The Carpenters ผมมองหาป้ายชื่อโรงแรมที่มีคำนี้ แต่ก็ไม่เห็น เดินไปจนสุดซอย เจอทางแยก ผมเลือกเดินไปทางซ้าย เจอ Taxi คันหนึ่งจอดอยู่ ถามคนขับถึงชื่อโรงแรมที่มีคำว่า Solitaire ว่ามันอยู่ที่ไหน? สารถีบอกว่า อ๋อ... President Solitaire ให้เดินย้อนกลับไปอีกทาง แล้วเลี้ยวซ้ายตรงสามแยกแรก โรงแรมนี้อยู่ทางขวามือ
ผมเดินไปตามทางที่บอก ก็เห็นโรงแรม President Solitaire อยู่ข้างหน้า บนถนนที่ยังคงเงียบเชียบปราศจากผู้สัญจร จะมีก็เพียงชายชราจากเมืองรถม้าเท่านั้น!
มองผ่านกระจกเข้าไป ผมเห็นล็อบบี้ยังคงปิดไฟมืด ที่หน้าฟร้อนท์มีพนักงานชายคนหนึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์ ยืนลังเลอยู่หน้าโรงแรมอยู่นาน นาฬิกาบอกเวลาตีห้าเก้านาที ลองตัดสินใจโทรขึ้นไปหาพี่อาลีตามเบอร์ที่ได้มา เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ! คงกำลังหลับสบาย! ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วโทรไปอีก ๒-๓ ครั้ง ก็ยังเงียบเหมือนเดิม ตัดสินใจส่งข้อความไปให้อีกครั้ง บอกว่ามาอยู่หน้าโรงแรมแล้ว
รอต่อไปจนสิ้นความอดทน ผมผลักประตูกระจกเข้าไปหาพนักงานที่นั่งอยู่ ถูกถามว่ามารับลูกค้าเหรอ?...ผมปฏิเสธ แล้วแจ้งว่ามาหาเพื่อนชาวบังกลาเทศซึ่งนัดกันไว้แล้ว ชายหนุ่มถามถึงชื่อและทำท่าจะคีย์หาข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ ผมบอกไม่เป็นไร เมื่อกี้โทรหาแล้วแต่ยังไม่รับสาย คงกำลังหลับสบาย ไม่ได้รีบร้อนอะไร ผมขอนั่งรอในล็อบบี้ก่อนก็แล้วกัน
นั่งรออยู่บนเก้าอี้หน้าล็อบบี้ได้ไม่นาน พนักงานก็มาเปิดไฟขับไล่ความมืดออกไป ผมถ่ายรูปได้แล้ว...
๕.๒๕ น. ผมโทรถึงพี่อาลีอีก แต่ก็ยังไม่รับอยู่ดี พอวางสาย... พี่อาลีโทรกลับมาด้วยเสียงงัวเงีย! ได้ยินเสียงพี่อาลีแล้ว อีกไม่นานผมคงได้พบตัวจริง!!!
ผมนั่งมองไปที่ประตู รออีกประมาณ ๒๐ นาที พี่อาลีก็โผล่ออกมา...
รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหา ได้ยินพี่อาลีเรียกว่าน้องชาย ผมโผเข้ากอด ลืมความตั้งใจที่จะยกมือไหว้หรือจับมือเสียสิ้น!! เช้าวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๖ ที่สนามบินกรุงธากา พี่อาลีกอดอำลาและอวยพรให้ผมเดินทางไปยังกัลกัตตาด้วยดี ผ่านมาได้ ๓๑ ปี ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๗...พี่อาลีก็ได้มอบกอดนั้นให้ผมอีกครั้ง ณ ล็อบบี้โรงแรม President Solitaire!
ลูกน้องของพี่อาลีตามมาด้วย ๑ คน เรานั่งคุยกันอยู่ที่เก้าอี้ล็อบบี้ประมาณเกือบชั่วโมง พี่อาลีก็บอกให้ไปหาอะไรกินกันก่อน คงอยากให้ผมได้กินอะไรนั่นเอง พอรู้ว่าผมกินขนมปังและนมมาแล้ว พี่อาลีก็ยังคงอยากพาไปหากาแฟดื่มอยู่ดี เพิ่ง ๖ โมงกว่าเอง เราพากันเดินออกไปจนเกือบถึงปากซอย พอดีมีร้านอาหารอยู่ทางซ้ายมือ จึงแวะเข้าไปสั่งกาแฟมาดื่มกันคนละถ้วย เริ่มต้นคุยถึงสารทุกข์สุขดิบ ความหลังครั้งก่อน และความเป็นอยู่ในปัจจุบัน
เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมมารู้อีกทีเมื่อเห็นว่าแขกที่นั่งกินอาหารเช้าอยู่ที่นั่นหายไปหมดแล้ว เหลือแต่เราสามคนยังคงนั่งคุยกันอยู่ตรงระเบียง...
ได้พบกับพี่อาลีอีกครั้งหลังจาก ๓๑ ปี วันนี้ต้องนำภาพในอดีตมาเปรียบเทียบกับปัจจุบัน...
ไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้...
วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557
พี่อาลี ผู้อารี - ห้างฉัตรไปสุขุมวิท ๑๑
การเดินทางลงกรุงเทพเพื่อพบพี่อาลี มีจุดประสงค์เพียงเพื่อพบหน้าพี่ชายชาวบังกลาเทศเท่านั้น ผมอยากรู้ว่าหลังจาก ๓๑ ปี พี่อาลียังคงเป็นพี่ผู้อารีคนเดิมอยู่หรือเปล่า?
๕ โมงเย็นได้เวลาออกเดินทาง เป็นเสมือนการจรดปลายปากกาขีดเส้นลงบนแผนที่ จากบ้านที่ห้างฉัตรไปยังถนนสุขุมวิท 11 โดยไม่ยกมือให้ขาดตอน เช้ามืดวันพรุ่งนี้ผมจะต้องไปให้ถึงโรงแรม President Solitaire ที่พี่อาลีพักอยู่....
เป็นการเดินทางที่ต้อง improvise ไปตลอดเส้นทาง ยังบอกไม่ได้ว่าจะขึ้นรถอะไรไปกรุงเทพ ต้องให้ถึงสถานีขนส่งลำปางเสียก่อน แข่งกับเวลาผมขี่มอเตอร์ไซค์ถึงสี่แยกนาก่วม! เก็บภาพไว้ ๑ บานเพราะไม่ได้เห็นนานแล้ว!
ผมนำรถไปจอดไว้ที่หน้าร้านรับฝากรถ แล้วรีบไปหาซื้อตั๋วรถไปกรุงเทพ...
เดินตรงไปที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ก่อนเลย พบว่ามีรถ ปอ.2 เชียงใหม่-กรุงเทพ ที่เคยนั่งตอนไปขอวีซ่าที่สถานทูตพม่าเมื่อเดือนเมษาฯ โชคดีจังเลย รถกำหนดเข้าเวลา ๑๗.๒๐ น. แต่ตอนนี้ ๑๗.๓๐ น. แล้ว ผมเห็นป้ายบอกว่ายังไม่มีรถผ่าน เจ้าหน้าที่บอกว่ายังทันอยู่...
รีบควักเงินซื้อตั๋วโดยพลัน ไม่ลืมที่จะยื่นบัตรประชาชนให้ พร้อมกับบอกว่าอายุเกิน ๖๐ แล้วเน้อ ได้ตั๋วมาแล้วครับ...
จากราคาเต็ม ๓๗๘ บาท เค้าลดราคาให้คนแก่ เหลือเป็น ๒๔๓ บาท ได้ตั๋วรถแล้ว...ผมรีบกลับไปฝากจักรยานยนต์ไว้กับร้านรับฝาก ก่อนที่จะเดินไปรอรถที่ชานชาลา 4
ผมลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพบรรยากาศข้างหน้าได้อีก ๑ บาน เจ้ารถ ๒ ชั้นเหมือนที่เคยนั่ง ก็วิ่งเข้าเทียบชานชาลา...
รู้สึกว่าทุกวันนี้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ขนส่งดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย ผู้โดยสารก็มีระเบียบวินัย...รู้จักเข้าคิว!
๑๗.๔๔ น. ผมได้ที่นั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว! E 14 อยู่ชั้นล่างเป็น window seat...
ตอนขึ้นไปมีคนนั่งอยู่ด้านข้าง แต่พอผมไปนั่งด้วย แกก็ย้ายไปนั่งข้างหลัง ผมก็เลยสบาย เหยียดแขนเหยียดขาได้ตามใจชอบ!
รับผู้โดยสารครบแล้ว รถก็วิ่งออกจากสถานีฯ มุ่งหน้าไปตามทางหลวงหมายเลข 11 สู่กรุงเทพมหานคร ไปจอดให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องน้ำที่เถิน ผมฉลองศรัทธาซะหน่อย ถ่ายรูปห้องน้ำชายมาให้ดูด้วย (อีกแย้ว)
เพื่อน ๆ ที่รักครับ ฟังดูแล้วผมอาจจะเล่าเรื่องไร้สาระ เป็นอะไรไม่รู้ ซึ่งไม่น่าอภิรมย์เลย แต่ผมก็อยากนำเล่าสู่กันฟัง เพราะบางท่านอาจไม่เคยมีประสบการณ์เดินทางด้วยรถยนต์แบบนี้ ก็ถือซะว่าผมเป็นตัวแทนที่จะมอบประสบการณ์ผ่านตัวหนังสือและรูปภาพให้ก็แล้วกัน...
การเดินทางบนรถโดยสาร ถ้าเป็นตอนกลางวันผมจะไม่หลับ นั่งดูสองข้างทางไปตลอด แต่ถ้าเป็นกลางคืน ถ้าได้ที่นั่งในตำแหน่งซึ่งค่อนข้างปลอดภัย และการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานขับรถเป็นที่ไว้ใจได้ ผมก็ขอหลับพักผ่อนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยพยายามนั่งในตำแหน่งที่ไม่ทำให้แหงนหน้าแล้วกรนเสียงดัง ไม่คอตก เอนไปซบคนข้าง ๆ ต้องเตือนสติตนเองอยู่ตลอดเวลา แม้จะหลับ ๆ ตื่น ๆ แต่ก็ได้พักผ่อนอยู่พอสมควร เมื่อการเดินทางสิ้นสุด ผมก็ไม่รู้สึกเพลีย พร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปในวันใหม่ คืนนี้รถเข้าจอดที่เถิน ตาก สลกบาตร กำแพงเพชร นครสวรรค์ ผมรู้หมด จากนั้นก็หลับสนิท มารู้สึกตัวอีกทีก็เกือบจะถึงรังสิต!
รถวิ่งเข้าจอดที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 เวลาตี ๓ กว่า ผมเคยมีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนเมษายน จึงค่อนข้างรู้ทิศรู้ทางว่าลงจากรถแล้วจะไปทางไหน ก่อนอื่นต้องไปห้องน้ำก่อน เพื่อล้างหน้าแปรงฟัน และระบายน้ำเสียของจากร่างกาย สถานีขนส่งอันกว้างใหญ่แห่งนี้มีห้องน้ำอยู่หลายจุด เลือกเอาที่อยู่ใกล้ที่สุดละกัน...
หน้าห้องน้ำมีเจ้าหน้าที่คอยเก็บตังค์ จ่ายให้ไป ๓ บาท ก็ผ่านเข้าไปใช้ห้องน้ำได้...
มีเจลล้างมือให้ด้วยนะ...
ผมเพิ่งได้อ่านข่าววันล้างมือโลก ทราบว่าคนไทย 88% ไม่ยอมล้างมือหลังจากขับถ่าย ผมอยากให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ในเรื่องสุขภาพและอนามัยให้มาก จะได้ไม่เหมือนคนแก่บางคนซึ่งยากเกินจะบอก!
ถ่ายภาพมาให้ดู เพราะอยากให้เห็นว่าผู้โดยสารที่มาถึงสถานีขนส่งหมอชิตแล้วรู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
ก่อนออกจากห้องน้ำ อย่าลืมสำรวจให้ดีว่าไม่มีอะไรหลงลืมไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือแว่นตา จากนั้นผมก็ต้องหาทางไปขึ้นรถเมล์...
กรุณาอย่าปากหนัก ถ้าไม่รู้ทาง...ให้ถามคนที่พอจะบอกเราได้ พยายามแหงนหน้ามองหาป้ายบอกทางไปท่ารถโดยสาร ขสมก.
ยิ่งกว่าเขาวงกตใด ๆ ตอนตี ๓ กว่า...ผมต้องเดินหาทางออกไปยังจุดจอดรถ ขสมก.
ถ้าเคยไปมาแล้วครั้งนึงก็ไม่ยากนัก ในที่สุดผมก็ไปถึงท่ารถเมล์ที่มีนักเดินทางจำนวนมากกำลังรอรถเมล์ ซึ่งจะเริ่มเข้ามาให้บริการตั้งแต่เวลา ๔.๐๐ น. ขณะนั้นยังไม่ถึงตีสี่ ผมได้เห็นเจ้าหน้าที่กำลังเดินเรียกให้ผู้คนซึ่งกำลังนอนหลับอยู่บนเก้าอี้ลุกขึ้น ทำให้นึกถึงตัวเองที่เคยไปนอนอยู่ในสถานีรถไฟแฟรงค์เฟิร์ตแล้วถูกไล่ให้ต้องไปนั่งหลับอยู่ในตู้โทรศัพท์!! แต่...วันนี้ผมไม่ยอมให้ใครมาไล่หรอก
เดินเข้า 7-11 ซื้อขนมปังไส้เผือก ๑ ชิ้น นมแลคตาซอย ๑ กล่อง และน้ำดื่มอีก ๑ ขวด (รวม ๓๐ บาท) มายืนกินก่อนเพื่อเติมพลัง จากนั้นก็ไปถามพนักงาน ขสมก.ว่าถ้าจะไปสุขุมวิท ๑๑ ต้องนั่งรถสายไหน? คำตอบคือ 136 ไปลงอโศกแล้วต่อรถอีกที ๔ นาฬิกาถึงเวลาเดินรถ... เจ้า 136 วิ่งเข้ามาจอด เป็นรถเมล์ฟรี!
เส้นปากกาบนแผนที่กำลังถูกลากต่อไปยังสุขุมวิท 21 หรือที่เรียกว่าซอยอโศก จำได้ว่าผมเคยเช่าห้องพักอาศัยอยู่สมัยเล่นอีเลคโทนในค็อกเทลเล้าจน์ ผ่านมากว่า ๓ ทศวรรษ เมืองหลวงเปลี่ยนไปมากจนจำไม่ได้ ระหว่างที่รถวิ่งไป ผมไม่รู้เลยว่าถึงไหนแล้ว ได้แต่นั่งจ้องมองข้างทางไปเรื่อย ๆ พอเห็นป้ายอโศก... ผมจับจ้องอยู่ว่าจะลงตรงไหนดี!!
ถึงป้ายหนึ่งกำลังจะมีคนลง ผมลุกจากที่นั่ง เดินตามไปทันที!
๕ โมงเย็นได้เวลาออกเดินทาง เป็นเสมือนการจรดปลายปากกาขีดเส้นลงบนแผนที่ จากบ้านที่ห้างฉัตรไปยังถนนสุขุมวิท 11 โดยไม่ยกมือให้ขาดตอน เช้ามืดวันพรุ่งนี้ผมจะต้องไปให้ถึงโรงแรม President Solitaire ที่พี่อาลีพักอยู่....
เป็นการเดินทางที่ต้อง improvise ไปตลอดเส้นทาง ยังบอกไม่ได้ว่าจะขึ้นรถอะไรไปกรุงเทพ ต้องให้ถึงสถานีขนส่งลำปางเสียก่อน แข่งกับเวลาผมขี่มอเตอร์ไซค์ถึงสี่แยกนาก่วม! เก็บภาพไว้ ๑ บานเพราะไม่ได้เห็นนานแล้ว!
ผมนำรถไปจอดไว้ที่หน้าร้านรับฝากรถ แล้วรีบไปหาซื้อตั๋วรถไปกรุงเทพ...
รีบควักเงินซื้อตั๋วโดยพลัน ไม่ลืมที่จะยื่นบัตรประชาชนให้ พร้อมกับบอกว่าอายุเกิน ๖๐ แล้วเน้อ ได้ตั๋วมาแล้วครับ...
จากราคาเต็ม ๓๗๘ บาท เค้าลดราคาให้คนแก่ เหลือเป็น ๒๔๓ บาท ได้ตั๋วรถแล้ว...ผมรีบกลับไปฝากจักรยานยนต์ไว้กับร้านรับฝาก ก่อนที่จะเดินไปรอรถที่ชานชาลา 4
ผมลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพบรรยากาศข้างหน้าได้อีก ๑ บาน เจ้ารถ ๒ ชั้นเหมือนที่เคยนั่ง ก็วิ่งเข้าเทียบชานชาลา...
รู้สึกว่าทุกวันนี้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ขนส่งดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย ผู้โดยสารก็มีระเบียบวินัย...รู้จักเข้าคิว!
๑๗.๔๔ น. ผมได้ที่นั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว! E 14 อยู่ชั้นล่างเป็น window seat...
ตอนขึ้นไปมีคนนั่งอยู่ด้านข้าง แต่พอผมไปนั่งด้วย แกก็ย้ายไปนั่งข้างหลัง ผมก็เลยสบาย เหยียดแขนเหยียดขาได้ตามใจชอบ!
รับผู้โดยสารครบแล้ว รถก็วิ่งออกจากสถานีฯ มุ่งหน้าไปตามทางหลวงหมายเลข 11 สู่กรุงเทพมหานคร ไปจอดให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องน้ำที่เถิน ผมฉลองศรัทธาซะหน่อย ถ่ายรูปห้องน้ำชายมาให้ดูด้วย (อีกแย้ว)
เพื่อน ๆ ที่รักครับ ฟังดูแล้วผมอาจจะเล่าเรื่องไร้สาระ เป็นอะไรไม่รู้ ซึ่งไม่น่าอภิรมย์เลย แต่ผมก็อยากนำเล่าสู่กันฟัง เพราะบางท่านอาจไม่เคยมีประสบการณ์เดินทางด้วยรถยนต์แบบนี้ ก็ถือซะว่าผมเป็นตัวแทนที่จะมอบประสบการณ์ผ่านตัวหนังสือและรูปภาพให้ก็แล้วกัน...
การเดินทางบนรถโดยสาร ถ้าเป็นตอนกลางวันผมจะไม่หลับ นั่งดูสองข้างทางไปตลอด แต่ถ้าเป็นกลางคืน ถ้าได้ที่นั่งในตำแหน่งซึ่งค่อนข้างปลอดภัย และการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานขับรถเป็นที่ไว้ใจได้ ผมก็ขอหลับพักผ่อนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยพยายามนั่งในตำแหน่งที่ไม่ทำให้แหงนหน้าแล้วกรนเสียงดัง ไม่คอตก เอนไปซบคนข้าง ๆ ต้องเตือนสติตนเองอยู่ตลอดเวลา แม้จะหลับ ๆ ตื่น ๆ แต่ก็ได้พักผ่อนอยู่พอสมควร เมื่อการเดินทางสิ้นสุด ผมก็ไม่รู้สึกเพลีย พร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปในวันใหม่ คืนนี้รถเข้าจอดที่เถิน ตาก สลกบาตร กำแพงเพชร นครสวรรค์ ผมรู้หมด จากนั้นก็หลับสนิท มารู้สึกตัวอีกทีก็เกือบจะถึงรังสิต!
รถวิ่งเข้าจอดที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 เวลาตี ๓ กว่า ผมเคยมีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนเมษายน จึงค่อนข้างรู้ทิศรู้ทางว่าลงจากรถแล้วจะไปทางไหน ก่อนอื่นต้องไปห้องน้ำก่อน เพื่อล้างหน้าแปรงฟัน และระบายน้ำเสียของจากร่างกาย สถานีขนส่งอันกว้างใหญ่แห่งนี้มีห้องน้ำอยู่หลายจุด เลือกเอาที่อยู่ใกล้ที่สุดละกัน...
หน้าห้องน้ำมีเจ้าหน้าที่คอยเก็บตังค์ จ่ายให้ไป ๓ บาท ก็ผ่านเข้าไปใช้ห้องน้ำได้...
มีเจลล้างมือให้ด้วยนะ...
ผมเพิ่งได้อ่านข่าววันล้างมือโลก ทราบว่าคนไทย 88% ไม่ยอมล้างมือหลังจากขับถ่าย ผมอยากให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ในเรื่องสุขภาพและอนามัยให้มาก จะได้ไม่เหมือนคนแก่บางคนซึ่งยากเกินจะบอก!
ถ่ายภาพมาให้ดู เพราะอยากให้เห็นว่าผู้โดยสารที่มาถึงสถานีขนส่งหมอชิตแล้วรู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
ก่อนออกจากห้องน้ำ อย่าลืมสำรวจให้ดีว่าไม่มีอะไรหลงลืมไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือแว่นตา จากนั้นผมก็ต้องหาทางไปขึ้นรถเมล์...
กรุณาอย่าปากหนัก ถ้าไม่รู้ทาง...ให้ถามคนที่พอจะบอกเราได้ พยายามแหงนหน้ามองหาป้ายบอกทางไปท่ารถโดยสาร ขสมก.
ยิ่งกว่าเขาวงกตใด ๆ ตอนตี ๓ กว่า...ผมต้องเดินหาทางออกไปยังจุดจอดรถ ขสมก.
ถ้าเคยไปมาแล้วครั้งนึงก็ไม่ยากนัก ในที่สุดผมก็ไปถึงท่ารถเมล์ที่มีนักเดินทางจำนวนมากกำลังรอรถเมล์ ซึ่งจะเริ่มเข้ามาให้บริการตั้งแต่เวลา ๔.๐๐ น. ขณะนั้นยังไม่ถึงตีสี่ ผมได้เห็นเจ้าหน้าที่กำลังเดินเรียกให้ผู้คนซึ่งกำลังนอนหลับอยู่บนเก้าอี้ลุกขึ้น ทำให้นึกถึงตัวเองที่เคยไปนอนอยู่ในสถานีรถไฟแฟรงค์เฟิร์ตแล้วถูกไล่ให้ต้องไปนั่งหลับอยู่ในตู้โทรศัพท์!! แต่...วันนี้ผมไม่ยอมให้ใครมาไล่หรอก
เดินเข้า 7-11 ซื้อขนมปังไส้เผือก ๑ ชิ้น นมแลคตาซอย ๑ กล่อง และน้ำดื่มอีก ๑ ขวด (รวม ๓๐ บาท) มายืนกินก่อนเพื่อเติมพลัง จากนั้นก็ไปถามพนักงาน ขสมก.ว่าถ้าจะไปสุขุมวิท ๑๑ ต้องนั่งรถสายไหน? คำตอบคือ 136 ไปลงอโศกแล้วต่อรถอีกที ๔ นาฬิกาถึงเวลาเดินรถ... เจ้า 136 วิ่งเข้ามาจอด เป็นรถเมล์ฟรี!
เส้นปากกาบนแผนที่กำลังถูกลากต่อไปยังสุขุมวิท 21 หรือที่เรียกว่าซอยอโศก จำได้ว่าผมเคยเช่าห้องพักอาศัยอยู่สมัยเล่นอีเลคโทนในค็อกเทลเล้าจน์ ผ่านมากว่า ๓ ทศวรรษ เมืองหลวงเปลี่ยนไปมากจนจำไม่ได้ ระหว่างที่รถวิ่งไป ผมไม่รู้เลยว่าถึงไหนแล้ว ได้แต่นั่งจ้องมองข้างทางไปเรื่อย ๆ พอเห็นป้ายอโศก... ผมจับจ้องอยู่ว่าจะลงตรงไหนดี!!
ถึงป้ายหนึ่งกำลังจะมีคนลง ผมลุกจากที่นั่ง เดินตามไปทันที!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)