วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

วัดเมืองกาย จ.เชียงใหม่

   

"วัดเมืองกาย" ตั้งอยู่เลขที่ ๓๗ ถนนราษฏร์อุทิศ ตำบลวัดเกตุ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดมหานิกาย บนพื้นที่ประมาณ ๖ ไร่ ประกอบด้วยถาวรวัตถุที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี...





เว็บ culture.mome.co กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของวัดนี้ว่า...
พระไชยวุฒิผู้มีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองเชียงตุง ได้อพยพพาพี่น้อง ๒-๓ คนมาอยู่ที่เมืองกาย จังหวัดเชียงใหม่ ท่านได้จัดตั้งอารามขึ้นเป็นที่ทำบุญ และตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า "วัดเมืองกาาย" ต่อมาได้สร้างพระเจดีย์ไว้เป็นที่สักการะบูชาแก่คนทั้งปวง เจ้าอาวาสองค์ที่สองชื่อพระคันทวงศ์ได้ขออนุมัติผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม รัตนโกสินศก ๑๓๕  มีขอบเขตพระอุโบสถยาว ๒ เส้น ๓ ศอก กว้าง ๑ เส้น ๑๖ วา ๒ ศอก....
วัดเมืองกายเข้าได้หลายทาง ทางด้านทิศตะวันตกจากถนนเชียงใหม่-ลำพูน เข้าประตูไปก็เห็นลานปูด้วยตัวหนอนอยู่ข้างวิหารและหน้าศาลาการเปรียญ วัดนี้มีสุนัขหลายตัว (เห่าแต่ไม่กัด แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน)

 
ด้านทิศใต้และทิศตะวันออกมีทางเข้าที่ต้องผ่านต้นยางสูงใหญ่...



แล้วยังต้องผ่านประตูชั้นในอีกชั้นนึง....



วิหารหลังใหญ่ (3) สร้างเมื่อปี พ.ศ.  ๒๔๙๑ มีหลังคาลดหลั่น ๓ ระดับ...





  





พระเจดีย์ (1) ประดิษฐานอยู่หลังวิหาร สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙...





ทางทิศเหนือของเจดีย์ มีพระอุโบสถ (2) สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙


 


 


กุฏิเจ้าอาวาส (4)...


แถมด้วยรูปหอระฆังอีก ๑ บาน...


ผมปั่นจักรยานออกจากวัดเมืองกาย โชคดีที่ยางยังไม่แบน!

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

FB Trip ไปเชียงใหม่ – ยางแบน


การเขียนบล็อก "Exploring the World" เริ่มจะฝืดลงทุกที ช่วงหลังมานี้ผมหาโอกาสแบกเป้ออกท่องโลกไม่ได้จริง ๆ  ถ้าได้ปั่นจักรยานไปลาวใต้ตามที่วางแผนไว้ก็คงได้วัตถุดิบกลับมาเขียนต่ออีกเยอะ!  แต่ไม่เป็นไรครับ ขอแก้ขัดด้วยการแวะเยือนวัดวาอารามแล้วบันทึกภาพมาฝากเพื่อน ๆ ไปก่อนซักระยะก็ยังดี! 

เช้านี้กำลังจะพาเจ้า Banian ขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่อีกครั้ง ผมตั้งใจที่จะกลับไปวัดเกตุการามเพื่อถ่ายภาพภายในพิพิธภัณฑ์แล้วปั่นเลยไปเก็บภาพวัดแถว ๆ ถนนท่าแพมาฝากเพื่อน ๆ  ยังไม่ทันได้ออกบ้าน ประมาณ ๙ โมงกว่า ๆ ก็มีเมฆฝนเคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมมืดครึ้มไปหมด ลมแรงพัดยอดไม้แกว่งไกวไปมา ขณะหมุนบานเกล็ดหน้าต่างลง...ผมคิดว่าถ้าฝนได้ตกลงมาคงจะหนักชนิดลืมหูลืมตาไม่ขึ้น!

ต่อมาไม่นาน ฝนก็เทลงมา แต่พายุก็มิได้รุนแรงเท่าที่คาดไว้! ผมมีเวลา ๒ ชั่วโมงกว่าก่อนปั่นจักรยานไปขึ้นรถไฟขบวน ๔๐๗ ที่สถานีห้างฉัตร ประมาณ ๑๑ โมงฝนก็หยุดตก ท้องฟ้าสว่างสดใส! เที่ยงกว่าผมออกจากบ้านพร้อมจักรยานเพื่อนยากไปแวะซื้อยาที่ร้านขายยาใกล้ตลาดสดเทศบาลห้างฉัตร...


 จากนั้นก็ปั่นไปตามถนนซึ่งได้ถูกชะล้างไว้อย่างดี...มุ่งสู่บ้านสถานี


ถึงสถานีรถไฟห้างฉัตรเวลา ๑๒.๔๐ น.



ได้ตั๋วมาแล้วครับ...


 เสียงระฆังส่งสัญญาณ เจ้าหน้าที่บอกว่าอีก ๕ นาทีรถจะเข้าเทียบชานชาลา ผมตั้งจักรยานเตรียมไว้ ณ จุดเดิม...



วันนี้มีผู้โดยสารใช้บริการรถไฟฟรีที่สถานีห้างฉัตรเพียงแค่ ๒ คน คือลุงน้ำชาและป้าอีกคนหนึ่งซึ่งเดินทางไปเยี่ยมลูกสาวที่เชียงใหม่...



วันพฤหัสรถไฟฟรีมักจะมีที่ว่างให้แทบทุกครั้ง...



ผมได้นั่งเก้าอี้ยาวริมประตู สะดวกสบายทุกอย่าง.....


 

รถไฟทำเวลาได้ดี หยุดรับส่งผู้โดยสารตามสถานีย่อยต่าง ๆ อย่างไม่มีติดขัด พอถึงสถานีหนองหล่ม ผมก็รู้ว่าอีกไม่ช้าก็จะเข้าสถานีลำพูน ป่าเส้า สารภี และเชียงใหม่ ลองใช้มือบีบดูลมล้อ...พบว่ายางหลังหลังอ่อนลงไปประมาณครึ่งนึง!  เป็นเรื่องแล้วซิ! คงจะรั่วเพราะโดนหนาม



รถไฟเข้าสถานีเชียงใหม่ตรงเวลา หลังจากร่ำลาคุณป้าเพื่อนผู้ร่วมเดินทาง ผมก็หอบจักรยานเดินลิ่วออกไปหน้าสถานี ประกอบเรียบร้อยแล้วขึ้นขี่ออกสู่ถนนเจริญเมืองทันที  รถวิ่งไปได้ไม่กี่สิบเมตรล้อหลังก็แกว่ง มันบอกอาการว่า "ยางแบน" หรือที่ฝรั่งบอกว่า "flat tire"

ลงรถแล้วจูงเจ้า Banian จากบริเวณหน้าร้านกาแฟไทยประเสริฐไปตามถนนเจริญเมือง แถวนั้นเป็นถิ่นของผมเมื่อ ๕๐ ปีก่อน ถ้าให้เดินหลับตาก็ยังบอกได้ว่าผ่านร้านยายศรี-เจ้ฮ่อ-ไปรษณีย์ไปแล้ว ก็จะเจอปั้มน้ำมันมีจริง ๆ ครับ ผมจูงเจ้า Banian ตรงไปยังที่เติมลม & น้ำของปั้มน้ำมันทันที...


เติมลมเข้าไปจนได้ระดับ ๓๒ ปอนด์ต่อตารางนิ้ว บีบดูแล้วเห็นว่ายางแข็งพอจะปั่นต่อไปได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะพาผมไปได้ไกลแค่ไหน ผมเลิกล้มความตั้งใจที่จะไปวัดเกตการามและถนนท่าแพ ขี่จักรยานเลี้ยวเข้าถนนกองทราย หักขวาไปหลังตลาดสันป่าข่อย แล้วไปออกถนนเชียงใหม่ลำพูนตรงห้างฯ ริมปิง คิดว่ายางคงไม่แบนก่อนถึงบ้าน


ระหว่างทางต้องผ่าน "วัดเมืองกาย"....

 
ไม่แวะเข้าไปคงไม่ได้!  ยางจะแบนก็ช่างมัน!

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

พิพิธภัณฑสถานเขลางค์นคร

เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมเขียนถึงเรื่องธนบัตรเก่าที่มีอยู่ ลืมบอกไปว่ายังมีเหรียญกษาปณ์อีกจำนวนไม่น้อย ขอสแกนให้เพื่อน ๆ ดูเหรียญเก่าอย่างเช่นเหรียญ ๑๐ สตางค์ เหรียญที่ระลึก และเหรียญต่างประเทศ...


หนังสือเก่าก็มีนะครับ อย่างเช่น "ตำรายาพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์" พิมพ์เมื่อปีกุญ พ.ศ. ๒๔๖๖ เล่มนี้...


พอดีได้ไปเยือน "พิพิธภัณฑ์เขลางค์นคร" ซึ่งอยู่ในวัดพระเจดีย์ซาวหลังแล้วได้เห็นของเก่ามากมาย ส่วนหนึ่งเป็นธนบัตรและเหรียญกษาปณ์อย่างที่ผมมี วันนี้ก็เลยอยากชวนเพื่อน ๆ ไปดูด้วยกัน...




เว็บฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์และศูนย์ศิลปวัฒนธรรมในประเทศไทยกล่าวถึง "ประวัติความเป็นมาและการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์พิพิธภัณฑสถานเขลางค์นคร" ไว้ดังนี้...
วัดพระเจดีย์ซาวหลังดำริที่จะสร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อรวบรวมของเก่าแก่ในจังหวัดลำปาง เพื่อการสืบค้นความเป็นมาในเชิงการศึกษาของคนรุ่นใหม่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้แก่เยาวชนในท้องถิ่น  และเพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในวัดพระเจดีย์ซาวหลัง พระจินดารัตนาภรณ์ได้รวบรวมของเก่าแก่ที่เจ้าอาวาสองค์ก่อน ๆ ได้รวบรวมไว้สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์บนศาลาวัด ตอนแรกของเก่าก็มีเพียงไม่กี่อย่าง ได้แก่ มีดดาบ ปืนคาบศิลา ด้ามพร้า และพระพุทธรูปเก่า ๆ เพียงไม่กี่องค์ แต่เมื่อมีคนสนใจมาชมมากขึ้น จึงมีผู้บริจาควัตถุโบราณของเก่าแก่ที่ตนเองเก็บสะสมและสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน หรือเวลาที่เจ้าอาวาสไปพบเห็นที่อื่นก็จะขอบริจาค หรือไม่ก็ขอซื้อมารวบรวมเอาไว้มากขึ้นเรื่อย ๆ  ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ทางจังหวัดเห็นความสำคัญจึงได้จัดสรรงบประมาณพัฒนาจังหวัด  เพื่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ขึ้นเป็นการถาวร ใช้ชื่อว่า “พิพิธภัณฑสถานเขลางค์นคร”  เป็นอาคาร ๒ ชั้น บันไดด้านหน้าจะเห็นครุฑแกะสลักด้วยไม้สักขนาดใหญ่นำมาจากศาลาหลังเก่ามีอายุไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ ปี  การจัดแสดงภายในอาคารจัดแสดงวัตถุโบราณหลากหลายชนิดอาทิ ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ เงินตราสกุลต่าง ๆ ทั้งของไทยและของต่างประเทศ พระพุทธรูป พระเครื่องเก่าแก่ ข้าวของเครื่องใช้สมัยโบราณที่แสดงถึงวิถีชีวิตของคนลำปาง ฯลฯ
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูล ผมเก็บภาพมาให้เพื่อน ๆ แล้วนะครับ (โพสต์ได้ไม่มากเพราะเนื้อที่จำกัด ความจริงมีมากกว่านี้)





















ผมยังนึกไม่ออกว่าจังหวัดลำปางมีพิพิธภัณฑสถานที่ใหญ่กว่านี้หรือเปล่า?