ถึงวันนี้ผมได้เล่าเรื่องการปั่นจักรยานไปสิงคโปร์ต่อเนื่องกันมาอย่างต่อเนื่อง หากจะข้ามเหตุระทึกที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ ไปเสีย ก็ดูจะไม่ครบถ้วนกระบวนความ จึงขอรวบรวมนำมาเล่าอีกครั้งโดยใช้ชื่อเรื่องว่า "Mailon Ali"
ผมได้เขียนเกี่ยวกับการเดินทางไปกัวลาลัมเปอร์ครั้งที่ ๒ ไว้ดังนี้...
หลังจากจองตั๋วโดยสารรถไฟไปสิงคโปร์เรียบร้อยแล้ว จุดหมายต่อไปคือ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ” สถานที่ ๆ ผมปักหมุดไว้ตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้วว่าจะต้องไปเยือนให้ได้ มันเป็นคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับตัวเอง ก่อนอื่นก็ต้องเล่าย้อนหลังไปถึงเหตุการณ์ย้อนหลังเพื่อตอบคำถามว่าทำไมถึงได้ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะกลับไปเห็นพิพิธภัณฑ์นั้นอีกครั้ง?
บ่ายวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ ขณะนั้นผมปั่นจักรยานมุ่งหน้าสู่กัวลาลัมเปอร์ บนเส้นทางที่ราบเรียบไม่ต้องขึ้นลงเขาอีก การปั่นจักรยานในมาเลเซียชิดซ้ายเหมือนบ้านเรา ผมจึงปั่นได้อย่างสบาย ไม่ฝืนความรู้สึก ถึงจุด ๆ หนึ่ง พบชายสวมหมวกกันน็อคจอดจักรยานยนต์รออยู่ เขายกมือเรียกให้ผมหยุด เป็นหนุ่มมาเลเซียพูดภาษาอังกฤษดีมาก บอกว่าเห็นผมขี่จักรยานมุ่งหน้ากำลังจะไป KL จึงได้จอดรถรอ เค้าส่งเศษกระดาษชิ้นเล็ก ๆ เขียนว่า old aeroplane, National Museum 6 PM เรานัดเจอกันที่ซากเครื่องบินซึ่งตั้งอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ…
รถจักรยานที่ผมใช้ปั่นไปสิงคโปร์เมื่อปลายปี ๒๕๓๐ เป็นรถมือสองจากญี่ปุ่นที่ซื้อมาจากร้านจักรยานหน้าโรงพยาบาลสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ ในราคา ๑,๕๐๐ บาท เป็นรถ ๓ สปีด โครงเหล็กแข็งแรงหนักอึ้ง ผมแค่ซื้อแฮนด์แบบเสือหมอบมาเปลี่ยนเท่านั้น!
จักรยานของผมไม่มีเครื่องมือวัดความเร็ว+ระยะทาง ไม่มีเป้หน้าหรือเป้หลัง ผมใช้ถุงทะเลสำหรับใส่ข้าวของทุกอย่าง <em>(รวมทั้งเต็นท์)</em> แล้วมัดติดไว้บนตะแกรงหลัง<em> (เสียดายไม่มีรูปให้ดู เพราะเดินทางครั้งนั้น ไม่ได้พกกล้องถ่ายรูปไปด้วย)</em> หนักน่าดูครับ ผมต้องจัดวางให้สมดุล เพื่อจะบังคับรถได้ง่าย เมื่อมีถุงทะเลบรรจุของเต็มพิกัดอยู่บนตะแกรงท้ายจักรยาน มันก็เหมือนกับว่ามีคนนั่งซ้อนท้ายไปด้วยอีก ๑ คน!
เดินทางไปถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ผมมองเห็นเครื่องบินเก่าแบบใช้ใบพัดตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารและได้พบกับหนุ่มมาเลย์ใจดีตามนัด Mailon บอกว่าจะพาไปที่บ้านโดยให้ผมขี่จักรยานตามไป เห็นว่าจักรยานของผมหนักมาก จึงให้ผมย้ายถุงทะเลจากท้ายรถจักรยานไปไว้ที่จักรยานยนต์ของเขา ผมย้ายถุงทะเลไปอยู่ที่มอเตอร์ไซค์ แล้วปั่นจักรยานตามเพื่อนใหม่ออกจากพิพิธภัณฑ์ เหนื่อยสุด ๆ แต่ก็พยายามปั่นตามไปติด ๆ เห็นหลังผู้นำทางอยู่ไว ๆ ผมเร่งเท้าหนักขึ้นแต่จักรยานกลับไม่ให้ความร่วมมือ พอขึ้นสะพานผมจะออกแรงปั่นสักเพียงใดก็ตามไม่ทัน ในที่สุดชายผู้ใจดีพร้อมกับถุงทะเลของผมก็หายไปจากสายตา พระเจ้าช่วย! ผมมองหาทิศไหน…ก็ไม่เห็น!!!
คงไม่ต้องบรรยายความรู้สึก ณ วินาทีที่รู้ว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว นอกจากจักรยานและเอกสารแนบตัว! ผมยืนจูงจักรยานอยู่ตรงเชิงสะพาน มองรถราที่วิ่งเปิดไฟผ่านไปมาด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง อ่อนล้า และมึนงง ฤาว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะหมดสิ้นอยู่แค่นี้เองแล้วหรือ? รู้สึกคล้าย ๆ กับตอนที่โดนโดนแขกในกัลกัตต้าหลอกเชิดเอากล้อง Rollie 35 ไป เพียงแต่ครั้งนี้ผมยังมีความหวังที่จะได้ถุงทะเลของผมคืน
ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี… ผมได้แต่ยืนจูงรถอยู่บริเวณสี่แยกที่พลัดหลง!
จนเวลาผ่านไปประมาณ ๑ ชั่วโมง หนุ่มมาเลย์ผู้ขี่จักรยานยนต์เที่ยวมองหาก็กลับมาเจอหนุ่มไทยซึ่งยืนรออยู่ ประโยคแรกที่ผมได้ยินจากปากของเขา คือ “ขอบคุณพระอัลเลาะห์ ” หลังจากนั้นเขาก็พาผมไปสถานีตำรวจ เพื่อเอาถุงทะเล บอกผมว่าตอนที่คลาดกันนั้นรู้สึกตกใจมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้นำถุงทะเลไปฝากไว้กับตำรวจด้วยความหวังว่าผมอาจจะไปสอบถามที่สถานีตำรวจ…
จริง ๆ แล้ว ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดที่ขอความช่วยเหลือจากตำรวจด้วยซ้ำ! ผมคงอยู่ในภาวะช็อคก็ได้!
หลังจากได้ถุงทะเลแล้ว เพื่อนผู้ที่พระเจ้าทรงนำให้มาพบเจอแล้วได้ผ่านช่วงเวลาแห่งความตระหนกมาด้วยกันก็พาผมไปที่บ้านพัก ผมเก็บของไว้ แล้วซ้อนมอเตอร์ไซค์ลัดเลาะวิ่งหลบเข้าซอย (ไม่ได้สวมหมวกกันน็อค) ไปกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ผมยังคงระลึกถึงเสมอ สำหรับน้ำใจของเจ้าบ้านผู้เลี้ยงอาหารค่ำแสนอร่อย ให้ที่พักแรมแล้วยังจัดขนมมอบให้เป็นเสบียงสำหรับการเดินทางต่อไปยังมาลัคกา…
เพื่อน ๆ ที่รักครับ เหตุการณ์ระทึกในวันนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา แม้ความหวังที่จะพบ Mailon Ali อีกสักครั้งก่อนตายจะไม่มีเหลือแม้แต่น้อย ภาพไปรษณียบัตรข้างล่างนี้คือ ส.ค.ส. ที่ Mailon ส่งจากปีนังถึงผมเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๙
ขอบคุณอินเทอร์เน็ตที่ทำให้ผมสามารถค้นหาภาพซากเครื่องบินเก่าที่อยู่หน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกรุงกัวลาลัมเปอร์ในอดีตไว้ได้ หลังจากเพียรพยายามอยู่หลายวันผมก็ได้ภาพนี้มา คงเป็นภาพเดียวจริง ๆ ที่มีอยู่ในโลกไซเบอร์ มันมีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ผ่านประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตซึ่งเริ่มต้นจากจุดที่เห็นนี้...
ที่มาของภาพ - skyscrapercity.com - thanks a lot! |
นอกจากว่าผมได้จากโลกนี้ไปเสียก่อนเท่านั้น!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น