บอกตัวเองว่าถ้ายังมีลมหายใจอยู่จะต้องกลับมาเยือนให้ได้อีกครั้ง
วันนี้ต้องยุติการปั่นจักรยานเที่ยวเมืองเก่าไว้เพียงแค่นี้
ขอกลับมานั่งรอรถเร็วขบวน 145 ไปยังอุบลราชธานี...
วิกิพีเดียกล่าวว่า ตัวอาคารของสถานีรถไฟอยุธยาเป็นอาคารไม้สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อมาในปี ๒๔๖๔ ได้เปลี่ยนเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังจากเปลี่ยนชื่อจาก "สถานีกรุงเก่า" เป็น "สถานีอยุธยา" เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ ผมเห็นแล้วก็ต้องยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งสถานีที่สวยงามและจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือม้านั่งแบบดั้งเดิมสำหรับผู้โดยสาร...
จูงจักรยานขึ้นไปได้ถึงบนชานชาลาแล้วพับไว้...
รับตั๋วฟรีมาแล้ว เป็นตั๋วยืนระบุว่า Standee...
จะต้องยืนจากอยุธยาไปถึงอุบลราชธานีเชียวหรือ? ผมไม่คิดเช่นนั้น เพราะเคยมีประสบการณ์โดยสารรถไฟฟรีจากกรุงเทพฯ ไปสุไหงโก-ลกมาแล้ว ยังไง ๆ ก็ได้นั่ง ยิ่งเป็นสายตะวันออกเฉียงเหนือ เลยสระบุรีไปแล้ว...เดี๋ยวก็ว่าง!
ขบวนรถเร็ว 145 วิ่งเข้าเทียบชานชาลาตรงตามเวลา...
จากตำแหน่งที่ยืนรอ ผมหอบเจ้า Banian ก้าวขึ้นไปบนตู้รถ พบว่ามีผู้โดยสารมากมายจนหาที่ยืน แทบไม่ได้ เดินผ่านกลุ่มเด็กนักเรียนสาวที่ยืนอออยู่ท้ายตู้เข้าไปยังโบกี้ชั้นสอง มองหาที่ว่างให้กับจักรยานเพื่อนยาก โชคดีมีที่ว่างอยู่บนชั้นวางเหนือหัว ผมยกมันขึ้นไปวางไว้ กล่าวขอโทษผู้โดยสารก่อนที่จะล็อคไว้ด้วยสายคล้อง ระหว่างนั้นนายตรวจเดินมาบอกว่าจักรยานพับไม่เสียตังค์อยู่แล้ว ให้ผมไปหาที่นั่งได้เลย ผมทิ้งมันไว้แล้วเดินไปยังตู้ถัดไป พบม้านั่งชั้นสามยังพอมีที่ให้ได้หย่อนก้น สบายแล้ว...ผมไม่ต้องยืน! พอถีงสระบุรีมีคนลงเยอะ ยิ่งพ้นโคราชไป...ผู้โดยสารก็ยิ่งบางตา!!
ผู้โดยสารชั้นสองยิ่งสบาย...
ประมาณตีสาม ผมตื่นไปล้างหน้า...
ถ่ายภาพชั้นวางที่ว่างเปล่าไว้หน่อย...
เผลอนั่งหลับต่อ รู้ตัวอีกทีก็พบว่าจอดอยู่ที่สถานีรถไฟอุบลราชธานีแล้ว!
ปลดล็อคเจ้า Banian แล้วนำลงไปวางข้างม้านั่ง...
รอจนตี ๔ กว่า ผมหิ้วจักรยานไปที่ห้องน้ำ จ่าย ๑๐ บาท..ขออาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันให้สดชื่นก่อนออกลุย! มอเตอร์ไซค์รับจ้างคนหนึ่งยืนรออยู่หน้าห้องน้ำถามผมว่า "ป๋า...ไปไหน?" พอเห็นเจ้า Banian ก็พูดว่า "มีจักรยานด้วยเรอะ!" ผมยิ้มให้! สัมผัสได้ว่าผู้คนที่นี่ช่างมีอัธยาศัยดีแท้
กางจักรยานแล้วจูงออกไปหน้าสถานี...
มองเห็นหัวรถจักรไอน้ำของ ร.ฟ.ท. ในอดีตตั้งอยู่...
ยังมืดอยู่...แล้วผมจะไปที่ไหนดี?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น