วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

FB Trip ไปเชียงใหม่ - สีสันที่วัดบุพพาราม

จากวัดแสนฝาง จูงจักรยานข้ามถนนไปยัง "วัดบุพพาราม"   ผมเห็นป้ายชื่อวัดแล้ว อยากเขกหัวตัวเองที่หลงเข้าใจผิดคิดว่าวัดนี้ชื่อ "วัดบุปผาราม" มาตั้งแต่เด็ก... 


จะอ้างว่า "แต่ก่อนคนเรายังโง่..." ก็น่าจะไม่ถูกนัก เพราะความโง่เกิดจากการไม่เปิดตากว้างเพื่อเห็นความจริงมากกว่า มารู้อีกทีก็เมื่อผมขาวเต็มหัว! จริง ๆ แล้ว "วัดบุปผาราม" ก็คืออีกชื่อหนึ่งของ "วัดสวนดอก" ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลสุเทพโน่น  เว็บหลายเว็บให้ความหมาย “บุพพาราม” ว่า “อารามที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเมือง"  เว็บแดนพระนิพพานดอทคอมยิ่งเขียนไว้ชัดเจนว่า...
วัดบุพพาราม ตั้งอยู่ ๑๔๓ ถนนท่าแพ ตำบลช้างคลาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วัดนี้ปรากฏชื่อในชินกาลมาลีปกรณ์กล่าวว่า ในปี พ.ศ. ๒๐๔๐ พระเมืองแก้วโปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้น ณ พื้นที่ทางด้านทิศตะวันออกของจังหวัดเชียงใหม่ วัดบุพพารามขึ้นทะเบียนโบราณสถาน และกำหนดขอบเขตวัด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒
ตำนานพระเจ้าเลียบโลก กล่าวว่า...พระพุทธเจ้าเสด็จไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทรงประทับนั่งแล้วทรงพยากรณ์ว่า “ในฐานะที่นี้ต่อไปในภายภาคหน้า คนทั้งหลายจะมาสร้างอารามขึ้น เป็นอารามใหญ่จะได้ชื่อว่า “บุพพาราม” ตามนิมิตที่อยู่ในทิศตะวันออก พระอรหันต์ พระเจ้าอโศกราชก็ทูลขอพระเกศาธาตุหนึ่งองค์ประดิษฐานไว้ที่นั้น เลยได้ชื่อว่า “วัดบุพพาราม” จนตราบทุกวันนี้...
ผมเองเปิดพจนานุกรมพบความหมายของคำว่า "บุพพาจารย์" คือ ผู้สอนก่อน ได้แก่ มารดา บิดา ซึ่งเป็นผู้สอนความรู้ให้บุตรเป็นคนแรก จึงคิดไปว่า "วัดบุพพาราม" น่าจะสร้างไว้ก่อนและเก่าแก่มาก ๆ  คำตอบก็อยู่ในจารึกแผ่นนี้!

วัดบุพพารามเป็นวัดคู่เมืองเชียงใหม่ พระเมืองแก้ว กษัตริย์ราชวงศ์มังรายโปรดให้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๐๓๔ บนบริเวณที่เป็นคุ้มของพระญาติโลกราช  เมื่อนครเชียงใหม่ฟื้นฟูบ้านเมือง เจ้าหลวงเชียงใหม่และอาณาประชาราษฏร์ได้บูรณะวัดบุพพารามให้เจริญรุ่งเรืองสืบมา พ.ศ. ๒๓๖๒ เจ้าหลวงธรรมลังกาโปรดให้สร้างวิหารหลังเล็กเครื่องไม้ศิลปล้านนา ส่วนพระวิหารหลังใหญ่พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์โปรดให้สร้าง...
โชคดีที่วันนี้ผมได้มาเยือนวัดคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่สร้างเมื่อ ๕๒๐ ปีที่แล้ว! ที่เห็นแปลกตาคือบรรดานักท่องเที่ยวจีนที่ยกขบวนมากับรถบัสคันใหญ่ ตาแก่จากเมืองรถม้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบเห็น!!


ทางวัดปิ้งไอเดียเก็บค่าเข้าชมนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผมเห็นป้ายเรียกเก็บตังค์ติดอยู่ตรงทางเข้า คิดว่าวัน ๆ คงได้หลาย! อะไรคือจุดขาย? ถ้าไม่ใช่พระพุทธรูปไม้สักใหญ่ที่สุดในโลก ผมเห็นป้ายภาษาอังกฤษเขียนผิดแบบไทย แต่ก็เป็นที่เข้าใจ น่าจะเขียนให้ถูกต้องนะ จะได้ไม่อายประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและเขมร ไหน ๆ ก็จะโกอินเตอร์แล้วนี่นา...


ผมเดินดูรอบ ๆ วิหารแล้วเก็บภาพมาฝากเพื่อน ๆ








ตรงบันไดนาคกำลังทาสีแดงสด...



ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าของดวงตาที่เห็นจะชอบสีที่ทางวัดทาหรือเปล่า?



ชอบใครชอบมันครับ ทางวัดคงอยากให้เป็น imitation กับที่ซุ้มประตูและเพดาน...




งานยังไม่แล้วเสร็จ คงจะตามมาด้วยการลงสีทองให้ดูเหมือนการลงรักปิดทอง อย่างที่เห็นตรงฐานพระพุทธรูปหน้าวิหาร!



แต่จริง ๆ แล้วสีพื้นเรียบง่ายตามธรรมชาติ... มันก็ดูดีนะ!


ความคิดของท่านเจ้าอาวาสน่าสนใจมากครับ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น