การจราจรอันสับสนก็ได้ลุยมาแล้ว.... วันนี้จึงขอเดินเที่ยวดีกว่า!
การท่องเที่ยวสไตล์ลุงน้ำชามีความแตกต่างก็ตรงนี้แหละ การเดินสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ทำให้ผมได้เห็นการประกอบสัมมาอาชีวะของผู้คน ได้เห็นการทำงานที่ชวนให้หยุดมองด้วยความชื่นชม คนที่นีเค้า "หนักเอาเบาสู้" จริง ๆ บริเวณหัวมุมถนน ผมเห็นช่างไม้กำลังช่วยกันขัดแต่งประกอบโต๊ะ คนไทยวัยเกษียณอย่างผมไม่ได้เห็นไม้สวย ๆ อย่างเนี้ยมานานแล้ว...
จากตลาดเซโจผมเดินข้ามสะพานลอย มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ เลี้ยวซ้ายแล้วเดินไปจนถึงถนน #26 เลี้ยวขวาแล้วข้ามถนนเดินขนานไปกับพระราชวังจนถึงประตูทางเข้า ที่มีป้ายเป็นภาษาอังกฤษตัวใหญ่บอกว่าห้ามคนต่างชาติผ่านเข้าไป ผมเห็นทหารแบกปืนเดินรักษาการอยู่โดยรอบ เป็นบรรยากาศที่ไม่น่าอภิรมย์นัก!! ผมตัดสินใจเดินข้ามถนนลงใต้แล้วเลี้ยวขวาที่ถนน #27 ตั้งใจจะเดินไปสำรวจด้านตะวันตกอีกครั้ง...
ผ่านร้านน้ำชาอยู่ทางด้านซ้ายมือ ผมไม่รีรอที่จะแวะเข้าไปสั่งดื่มเสริมพลัง...
ลูกคนขายกาแฟอย่างผมคุ้นเคยดีกับอาชีพนี้ เคยช่วยพ่อแม่ขายชากาแฟตั้งแต่เด็ก วันนี้ได้มาเห็นเด็กชายชาวพม่าช่วยพ่อทำงานก็รู้สึกชื่นชมยิ่งนัก...
หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เด็ก ๅ ทำงานอย่างคล่องแคล่วและอารมณ์ดี...
ดื่มชาหมดแก้ว จ่ายเงินแค่ ๒๐๐ จ๊าดเอง คิดเป็นเงินไทยก็ ๗ บาท!
เดินต่อไปจนถึงสี่แยกซึ่งกำลังมีการปรับปรุงผิวถนน ผมเห็นคนงานหญิงหลายคนกำลังขนหินก้อนใหญ่ ๆ ที่กองอยู่นั่น นำไปโยนเรียงไว้ เพื่อรอให้รถบดมาทำหน้าที่ เธอทำงานหนักยิ่งกว่าชายอก ๓ ศอก...
เดินไปจนถึงเขตรถไฟ รางรถไฟทอดยาวไปจนถึงต้นทางติดกับถนน #26
บนเส้นทางเล็ก ๆ...ผมเห็นแต่ละชีวิตดำเนินไปแบบหนักเอาเบาสู้!!
เพื่อน ๆ ที่รักครับ ผมถ่ายภาพไว้มากมาย แต่คงไม่สามารถนำเสนอได้ทั้งหมด และถ้าให้เล่าอย่างครบถ้วนก็คงต้องใช้เวลาอีกนาน ผมขออนุญาตข้ามช่วงเวลาของการเดินชมเมืองมัณฑะเลย์ในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๗ ไปดีกว่า...
ภาพจำนวนมากมายที่ผมนำมาลง แม้จะไม่คมชัด แต่คงสื่อความหมายอะไรให้เพื่อน ๆ ได้ทราบ อยากให้ได้ดูภาพแล้วหันกลับมาดูตัวเอง เปรียบเทียบกับสภาพของสังคมเมืองไทยที่เปลี่ยนไป...
แต่ก่อนคนไทยก็เหมือนกับคนพม่าคือ "หนักเอาเบาสู้" แต่เดี๋ยวนี้คงไม่ใช่แล้ว!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น