โปรแกรม Google Maps ในโทรศัพท์ราคาสองพันกว่าบาทของผม
แสดงให้เห็นเส้นทางจากเวียงภูคาที่จะกลับไปยังประเทศไทยว่าอยู่ไม่ไกลแล้ว…แค่ร้อยกว่ากิโลเมตร!
แต่ผมก็ยังหารถไปบ่อแก้วไม่ได้ ต้องนั่งรอตั้งแต่ ๘ โมงเช้า สายแล้วก็ยังไม่มีรถ! หญิงวัยกลางคนหน้าตาดี เจ้าของร้านที่อยู่ติดกับสถานี่ขนส่ง (เรียกไปอย่างนั้นแหละ จริง ๆ แล้วก็ไม่อยากเรียกสักเท่าไหร่) และทำหน้าที่ขายปี้โดยสารไปด้วย บอกผมให้เฝ้าดูรถที่วิ่งมาจากหลวงน้ำทา ถ้าเห็นมาก็ให้รีบออกไปโบกมือ แต่คันแล้วคันเล่า ผมออกไปโบกแล้วก็ไม่เห็นจอดรับ รถที่มาจากจีน รถไทย ทั้งรถตู้รถบัส ไม่เห็นว่าจะชะลอ!
เธอปลอบใจว่าวันนี้ต้องได้ไปแน่ รถจากหลวงน้ำทาก็กำลังจะมา! มาจริง ๆ ด้วย แต่ดันไม่จอดรับ ผู้โดยสารที่จะไปน้ำทาได้ไปกันหมดแล้ว ตอนนี้เหลือผมคนเดียว รอรถไปบ่อแก้วมาได้ครึ่งวันแล้ว! ประมาณบ่ายสองโมงผมเห็นรถบัสวิ่งมาแต่ไกล รีบออกไปยืนโบก รู้สึกดีใจเมื่อเห็นรถชะลอแล้วจอด
ผมคว้าเป้ ตะโกนขอบคุณสาวลาวใจดี แล้วข้ามถนนไปขึ้นรถด้วยความยินดี เอาเป้ไว้ข้างบน…
รถพาผมเดินทางสู่บ่อแก้ว ข้างหน้าผมเห็นคนไทย ๓ คน สองคนเป็นหญิงนั่งอยูหลังคนขับ เธอคุยกันเสียงดัง ได้ยินถามคนขับว่าบ่อแก้วกับห้วยทรายที่เดียวกันหรือเปล่า?
วิ่งไปได้ไม่นานรถก็จอดริมทางให้ผู้โดยสารได้ “เบา” ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไปร่วมให้ปุ๋ยยูเรียแก่ต้นกล้วย…
รถวิ่งต่อไป…
ผ่านบ้านเรือนหลายรูปแบบ…
รถซึ่งอาจจะสภาพดีกว่ารถเมล์เขียวที่วิ่งระหว่างลำปาง-เชึยงใหม่…แต่ไม่มากเท่าไหร่ เมื่อวิ่งขึ้นเขา…บางจุดสูงชันต้องคลานขึ้นช้า ๆ เครื่องส่งเสียงครวญครางปานว่าจะหลุดออกเป็นชิ้น ๆ ผมแปลกใจยิ่งนักที่เห็นผู้โดยสารส่วนใหญ่ไม่สนใจการวิ่งของรถและสภาพของถนนหนทาง เห็นบางคนนั่งหลับ…
เขาไม่รู้เลยว่า ช่วงอันตรายคนขับต้องให้เด็กรถคอยดึงคันเกียร์ไว้ ในขณะใช้เท้ายันไปข้างหน้า คงเกรงว่าเกียร์จะหลุด!! การเดินทางเช่นนี้ผมไม่เคยหลับ จะตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ต้องคอยระวังตัว พร้อมเสมอสำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน…
ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางที่สถานีขนส่งบ้านห้วยทราย ผมลงจากรถแล้วตรงไปยังรถสองแถวที่จอดรออยู่ทันที ถามว่าด่านปิดหรือยัง? สารถีลาวบอกว่าปิด ๔ ทุ่มโน่น ถามว่าไปด่านค่ารถเท่าไหร่? คำตอบคือ “๒๐ พัน” ผมคิดในใจว่านั่งรถร้อยกว่าหลักมาจากเวียงภูคา ขึ้นเขาด้วย เสีย ๒๐๐ บาท แต่เนี่ยแค่ไปสะพานฯ ไม่กี่หลักเอง ล่อตั้ง ๘๐ บาท! แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร รีบเหวี่ยงเป้กระโดดขึ้นรถโดยไม่รีรอ คนไทยอีก ๓ คนตามมา ผมแกล้งทำเป็น backpacker ญี่ปุ่น นั่งเงียบ…เงี่ยหูฟังว่าคนไทยเค้าคุยอะไรกันบ้าง ยังไม่ได้ทันได้ความ…รถก็ถึง ตม. ลาว!
ขาออกไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เซ็นชื่อใน departure card ที่ได้เก็บรักษาแนบไว้กับหนังสือเดินทาง แล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่ อ่อ…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้เป็นพิเศษ ๕ พันกีบ เจ้าหน้าที่ประทับตราให้แล้วยื่นหนังสือเดินทางคืนให้ จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วโดยสารรถบริการของลาวอีก ๗,๐๐๐ กีบ เพื่อข้ามสะพานไปยัง ตม.ไทย หุหุ…รถ บขส. ไทย ๒๐ บาทก็ว่าแพงแล้ว แต่รถของลาวกลับแพงกว่า!
ในที่สุดผมก็ได้ก้าวลงเหยียบผืนแผ่นดินไทย ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้เจ้าหน้าที่ ตม.ไทยอีก ๒๐ บาท งานนี้มีแต่ควักกระเป๋าจ่ายลูกเดียวครับ…พ่อแม่พี่น้อง!
การเดินทางฝ่าลมหนาวแอ่วลาวเหนือของผมก็จบลงด้วยประการฉะนี้แล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น