จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน (1) ผมขี่จักรยานไปตามเส้นสีเขียว(ในภาพถ่ายดาวเทียม) ผ่านประตูเมืองเชียงแสน (Chiang Saen Gate) แล้วเลี้ยวโค้งไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข ๑๒๙๐
เห็น “ศาลเจ้าพ่อประตูป่าสัก” อยู่ด้านขวามือ บรรดารถโดยสารที่วิ่งผ่านไปมาจะต้องกดแตรเสียงดัง!!
เว็บ “ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม” ของกระทรวงวัฒนธรรม มีภาพของศาลเจ้าพ่อประตูป่าสักและบรรยายไว้ดังนี้…
“ศาลเจ้าพ่อประตูป่าสัก” ตั้งอยู่ตรงทางเข้าหน้ากำแพงอุทยานประวัติศาสตร์เชียงแสนเมืองเชียงแสน มีการบรวงสรวงเลี้ยงถวายศาลเจ้าพ่อเมืองเชียงแสนที่ประตูป่าสัก เป็นประจำทุกปีไม่มีขาด บางส่วนมีการไหว้วิญญาณปู่ย่าตายายบรรพบุรุษ การกล่าวบนผี เลี้ยงผี เจ้าที่เจ้าทาง ก็ยังมีอยู่ตามความเชื่อว่าทำแล้วเกิดความสบายใจ มีความสุขทางใจผู้คนเวลาอยากได้อะไร หรือมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจไร ก็จะมาหาท่านให้เจ้าพ่อท่านช่วย ชาวเชียงแสนเชื่อกันว่าท่านปกปักรักษาเมืองเชียงแสน เวลาจัดกิจกรรมเลี้ยงถวายศาลเจ้าพ่อประตูป่าสัก ศรัทธาของหมู่บ้านเวียงใต้คือ หมู่ ๓ นำโดยผู้ใหญ่บ้านจะนำชาวบ้านมาร่วมกันทำความสะอาดและจัดดาเครื่องบวงสรวง มาร่วมกิจกรรมเป็นประเพณีเลี้ยงศาลเจ้าพ่อประตูป่าสักเป็นประจำทุกปี
ปั่นจักรยานเลยศาลเจ้าพ่อประตูป่าสักไป ทางด้านซ้ายมือผมเห็นจุดยอดนิยม (2) ที่มีป้าย “เมืองเชียงแสน” ให้นักท่องเที่ยวบันทึกภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก…
มองไปข้างหน้า ทางด้านขวาเป็นโรงพยาบาลเชียงแสน (3) (รู้สึกว่ากำลังจัดงานอะไรสักอย่างหนึ่ง) ตรงกันข้ามเป็นที่ตั้งของอาคารร้านค้าซึ่งมีสีสันและรูปทรงแตกต่างกันไป...
ตรงระเบียงตึกสีไข่ไก่ (4) ซึ่งอยู่ถัดจากตึกสีเขียว มีป้ายผ้าแขวนเขียนบอกไว้ว่า “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ลวก”
น่าสนใจ...ผมขี่จักรยานตรงไปหาที่จอดทันที
เค้ากำลังปรับพื้นที่บริเวณหน้าร้านอยู่พอดี ผมต้องจอดจักรยานไว้ห่าง ๆ ที่เชียงแสนผมไม่กลัวรถหายจึงไม่ได้ล็อคกุญแจ!
ไต่ขึ้นไปบนพื้นซึ่งสูงกว่าระดับถนนถึงร้านก๋วยเตี๋ยว เพื่อน ๆ อ่านรายการอาหารที่ข้างฝาดูก่อนนะ…
รู้สึกชอบใจในอารมณ์ขันของผู้เป็นเจ้าของที่ถ่ายทอดลงบนแผ่นป้าย “ระดับความเผ็ด” ซึ่งถูกจัดอันดับความแสบไว้อย่างน่าสนใจดังนี้ “แสบใจเสาะ 0 – แสบอีเม้ย 1 – แสบเทอร์โบ 2 – แสบฟ้าผ่า 3 – แสบฟ้าแลบ 4 – แสบสุด ๆ 5” เบื่อก๋วยเตี๋ยว…ผมเลือกสั่งเย็นตาโฟต้มยำ! ดูเครื่องที่อยู่ในโถแล้วน้ำลายหก!
มาแย้ว! ไม่รู้ว่าจะแสบระดับไหน!
เป็นคนชอบอาหารเผ็ดร้อน ผมฟาดจนเกลี้ยงชาม จากนั้นก็เล็งไปที่ป้าย “กาลครั้งหนึ่งที่เชียงแสน” มองหาเครื่องดื่มสูตรพิเศษ…
“ขอน้ำผลไม้ปั่นครับ” ผมสั่งเพราะอยากลองเครื่องดื่มสดชื่นสูตรพิเศษ ทั้ง ๆ ที่สนใจ “โอเลี้ยงจ้ำบ๊ะ” มากกว่า อิอิ! เจ้าของร้านอัธยาศัยดีรีบลงมือทำให้ทันที คงจะรู้ว่าไฟกำลังไหม้อยู่ในปากของผม!!
น้ำผลไม้ปั่นก็อร่อยครับ หวานเย็นชื่นใจ! กินเสร็จแล้วเรียกคิดตังค์ ทั้งหมดแค่ ๕๕ บาทเอง ผมติดใจ… ขอความสดชื่นพกติดตัวไปอีกซักแก้วเหอะ คราวนี้ขอเป็น “กาแฟเย็นโบราณ” ทีแรกจะเอาแบบปั่น แต่คนขายบอกว่ามันละลายเร็ว ไม่ปั่นจะดีกว่า! เกือบจะ ๕ โมงเย็นแล้ว ผมจ่ายเงินค่ากาแฟโบราณ ๒๐ บาท หิ้วถุงใส่แก้วกาแฟนำไปห้อยไว้ที่แฮนด์รถจักรยาน ก่อนจะจูงข้ามถนนไปตั้งหลักที่หน้าโรงพยาบาลแล้วปั่นกลับไปตามเส้นทางเดิม…
อาหารมื้อนี้นับเป็น “กาลครั้งหนึ่งที่เชียงแสน” ที่น่าประทับใจจริง ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น