วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

เที่ยวสุดคุ้มด้วยงบ ๓,๘๒๐ บาท

เดินทาง ๑๐ วันท่องเที่ยว "ตากลาง" หมู่บ้านช้างแห่งลุ่มน้ำมูล กับ "นครวัด" ในจังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา... ผมใช้เงินทั้งสิ้น ๓,๘๒๐ บาท!!


ก่อนไปผมมีเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ ๘๖ เหรียญ และเงินเขมรอีก ๒๗,๕๐๐ เรียล เมื่อเทียบจากอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน เงินดอลล่าร์คิดเป็นเงินไทยได้ ๓,๑๐๐ บาท ส่วนเงินเขมรก็ ๒๗๕ บาทโดยประมาณ...


ที่เสียมราฐผมใช้เงินไทย ๑,๐๐๐ บาท แลกเงินเขมรได้อีก ๑๐๕,๐๐๐ เรียล  ตีซะว่า ๑,๐๐๐ เรียลเท่ากับ ๑๐ บาท ผมพยายามใช้เงินเขมรให้หมด แต่ยังเหลือมา ๓,๐๐๐ เรียล (๓๐ บาท)...


ในขณะที่เงินดอลล์เหลือกลับมาถึง ๔๑ เหรียญ (๑,๔๗๘ บาท)


"ทำไมถึงใช้งบน้อยจัง?" เพื่อน ๆ อาจสงกะสัย ผมจึงอยากแจงให้ทราบดังนี้...
ค่าที่พักในสุรินทร์ ๒ คืน = ๓๐๐ บาท
ค่าที่พักในเสียมราฐ ๔ คืน = ๙๖๐ บาท
พักฟรีที่อุตรดิตถ์ ๑ คืน = ๐ บาท
นอนบนรถไฟ ๑ คืน = ๐ บาท
นอนบนรถยนต์ ๑ คืน = ๐ บาท
ค่ารถไฟฟรีเชียงใหม่-บ้านภาชี = ๐ บาท
ค่ารถไฟบ้านภาชี-สุรินทร์ = ๑๗๐ บาท
ค่ารถสองแถวไป-กลับบ้านตากลาง = ๑๐๐ บาท
ค่ารถตู้ไปช่องจอม = ๔๕ บาท
ค่ารถแท็กซี่ไปเสียมราฐ = ๓๕๐ บาท
ค่ารถมอเตอรไซค์ไปที่พัก = ๓๖ บาท
ค่าเช่าจักรยาน ๕ วัน = ๒๘๐ บาท
ค่ารถจากเสียมราฐไปหมอชิต = ๔๐๐ บาท
ค่ารถ บขส. จากหมอชิตไปอุตรดิตถ์ = ๑๙๔ บาท
ค่ารถไฟฟรีอุตรดิตถ์-เชียงใหม่ = ๐ บาท
ค่าบัตรเข้าชมปราสาท = ๗๒๐ บาท
ค่าหนังสือ Ancient Angkor = ๒๓๑ บาท
ที่เหลือคือค่าอาหารและค่าเครื่องดื่ม (ค่าเข้าห้องน้ำด้วย อิอิ)

ไม่เหมือนหลาย ๆ ทริปก่อนหน้านั้น... ครั้งนี้ผมจดบันทึกไว้ค่อนข้างจะครบถ้วน


ค่าใช้จ่าย (๓,๘๒๐ บาท) ที่ได้รวมไว้จึงน่าจะถูกต้อง...

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

กลับมาแล้วครับ!

สวัสดีเพื่อน ๆ ที่รัก!  หลังจากแบกเป้ไปสุรินทร์และเสียมเรียบโดยใช้เวลา ๑๐ วัน (เช้าวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ ถึงบ่ายวันที่ ๒๙ มกราคม) ผมกลับถึงบ้านห้างฉัตรโดยสวัสดิภาพ ไม่เจ็บป่วยเมื่อยล้า ไม่มีเลือดตกยางออก และกระดูกกระเดี้ยวก็ยังสมบูรณ์ดีทุกอย่าง



ก่อนจะเขียนเล่าเรื่องราว ผมขอสรุปเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ให้เพื่อน ๆ ทราบพอเป็นสังเขปก่อนดังนี้...

ทริปซึ่งตั้งชื่อไว้ว่า "แบกแรดไปสุรินทร์" เป็นการเดินทางไปอยู่ที่หมู่บ้านช้างจังหวัดสุรินทร์ก่อน แล้วเข้าเขมรทางด่านช่องจอมเพื่อเยือนนครวัด-นครธม กลับเมืองไทยทางอรัญประเทศ ไปแวะค้างที่อุตรดิตถ์ ๑ คืนก่อนนั่งรถไฟกลับถึงห้างฉัตรใช้เวลาทั้งสิ้น ๑๐ วัน ปกติแล้วถ้ามีคนถามว่าจะต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ ผมก็จะตอบได้ทันทีว่าประมาณ ๕,๐๐๐ บาท เป็นค่าใช้จ่ายรวมทุกอย่างซึ่งเฉลี่ยตกวันละ ๕๐๐ บาท (ไปกี่วันก็เอา ๕๐๐ คูณเข้าไป) แต่ทริปครั้งนี้ถูกกว่านั้น! ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ๓,๘๒๐ บาท รวมหมดทุกอย่าง แม้ค่าเข้าชมนครวัด และค่าซื้อหนังสือ Ancient Angkor อีก ๑ เล่ม...


กับประโยคที่ว่า "See Angkor Wat and Die"  ผมได้ทำตามแล้วนะ และยิ่งกว่านั้นยังได้ไปเยือน "บ้านตากลาง" หมู่บ้านช้างแห่งลุ่มน้ำมูล ซึ่งแค่เพียงหยิบหนังสือมาดูแล้วบอกตัวเองว่าจะต้องไปที่นั่นให้ได้... ผมก็ทำสำเร็จแล้วเช่นกัน!


ถ้าไม่นับทริปล้างพิษฯ ที่เมืองกาญจน์  ทริปไปสุรินทร์และเสียมราฐครั้งนี้นับว่าคุ้มค่าที่สุด คือได้ไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวที่วิเศษสุดทั้งในเมืองไทยและเขมร ที่เขมรผมก็ได้ปิดฉากอย่างสมบูรณ์ตามที่ตั้งใจ ไม่มีอีกต่อไป (แค่ ๒ ครั้งกับการไปเยือนพนมเปญ พระตะบอง ศรีโสภณ และเสียมราฐนับว่าพอแล้ว!)

ไปครั้งนี้มีอะไรผิดพลาดมั้ย?  มี ๒ อย่างดังนี้ :- ๑) ทำปากกาหมึกแห้งซึ่งนำไปด้วยเพียงด้ามเดียวหาย  ๒) ถูกเจ้าหน้าที่ ตม. เขมรเรียกเงิน ๑๐๐ บาท ตอนผ่านแดนที่ช่องจอม ไม่อยากต่อความยาวก็เลยให้ไป นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นเรื่องกวนใจ มีแต่สิ่งดี ๆ มากมาย...

ผมได้ไปเยือนหมู่บ้านช้างเลี้ยงใหญ่ที่สุดในโลก!


เพิ่งเคยได้เห็นสุสานช้าง...


จากหมู่บ้านช้าง...ผมปั่นจักรยานไปทั่วทิศ


สัญจรบนเส้นทางเดียวกันกับช้าง...


ปั่นจักรยานไปถึงแม่น้ำมูล...


มีโอกาสได้ชมการแสดงของช้างแสนรู้ที่บ้านตากลาง...



ผมพักสบาย ๆ ในเสียมราฐ ๔ คืน (คืนละ $6) 


ได้ปีนขึ้นไปถึงยอดปราสาททุกแห่งที่ไปเยือน โดยไม่พลาดพลั้งตกลงมา!


ที่แตกต่างกับทริปอื่น ๆ คือ ผมมีกล้อง Nikon D50 ไปด้วย ทำให้บันทึกภาพได้ชัดกว่ากล้องคอมแพ็ค ครั้งนี้ไป ๑๐ วัน ผมกดชัตเตอร์เก็บภาพมาได้ทั้งหมด ๒,๓๐๑ บาน มากที่สุดเป็นประวัติการณ์!



เช่าจักรยานปั่น ๒ วันในสุรินทร์และอีก ๓ วันในเสียมราฐ  เป็นทริปที่ผมเดินทางด้วยจักรยานมากที่สุด...


ผมไปไกลเกินกว่านักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ



ได้สัมผัสความน่ารักของเด็ก ๆ ชาวกัมพูชาซึ่งไม่แบมือขอตังค์...



ผมปั่นจักรยานไปถึง "โตนเลสาบ"...



ผมแวะเยือนทุกวัดที่ขวางหน้า...


มีโอกาสได้กินของหวานชามละ ๑๐ บาท เหมือนกับที่เคยกินในพนมเปญ...


ได้เห็นแสงสีของเมืองเสียมราฐหรือเสียมเรียบในคืนวันเพ็ญ...


ผมได้ปั่นจักรยานไปวัด Thmei (killing field)...


และที่น่าจะภูมิใจที่สุดสำหรับทริปครั้งนี้ก็คือ การได้ปั่นจักรยานไปเฝ้าชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด...


ได้ขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดของปราสาท...


ผมดีใจในสิ่งที่ได้ทำตามที่ได้เขียนไว้ว่า "Exploring the world with an unusual Thai - บันทึกการท่องโลกที่ค่อนข้างแตกต่าง ด้วยงบประมาณจำกัดแต่ใจเกินร้อย พร้อมที่จะเดินไปข้างหน้า เพื่อนำประสบการณ์กลับมาฝาก!"  แล้วจะเล่าให้ฟังนะครับ!

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

Travellin’ light ไปเวียดนาม – อวสาน

อยู่เที่ยวแบบ travellin' light ในเวียดนามครบ ๒ สัปดาห์... ได้เวลาบินกลับเมืองไทย


ก่อนหน้านั้นได้ไปสำรวจไว้หมดแล้วว่าจะไปสนามบินได้อย่างไร สำหรับผมมี ๒ ทางคือ "นั่งรถเมล์" และ "นั่งรถตู้" (แท็กซี่ไม่ต้องพูดถึง) ผมเลือกรถตู้ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากที่พัก...เดินแบกเป้จากที่พักมาข้ามสี่แยกไฟแดงก็ถึงแล้ว



ผมเคยเขียนไว้แล้วครั้งหนึ่ง เกี่ยวกับการตรวจตราข้าวของก่อน check out ออกจากที่พักว่า...
เช้ามืดวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ในขณะที่เพื่อน hosteler ทั้งหญิงและชายอีก ๗ คนกำลังหลับสบาย ผมต้องตื่นก่อน ย่องลงจากเตียง แล้วไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน และสระผม จากนั้นก็แต่งตัว เก็บของลงเป้ สำรวจดูให้ดีว่าไม่หลงลืมอะไรไว้  เมื่อพร้อมแล้ว…ก่อนจะเดินออกจากห้อง ผมใช้มือตบตามตัวดูว่า นี่หนังสือเดินทาง นี่กระเป๋าตังค์ นี่กล้องถ่ายรูป นี่โทรศัพท์ นี่กุญแจที่จะต้องส่งคืน  ทุกอย่างครบแล้วถึงเปิดประตู ก้าวเดินออกจากห้องที่เคยให้พักพิงถึง ๔ วันเต็ม…
ระหว่างนั่งรอรถออก ผมเปิดโทรศัพท์เช็คตำแหน่ง...


ถึงสนามบินเกือบ ๗ โมง เที่ยวบิน FD643 (ฮานอย-กรุงเทพ) ออกเวลา ๘ โมงตรง สบายใจแล้ว...ได้กลับแน่!



ไปรอที่ gate 4




ได้ขึ้นเครื่องแล้วครับ ข้างนอกฝนตกสุย ๆ



นั่งมองผู้โดยสารทยอยขึ้นเครื่อง...



ในที่สุดเจ้านกยักษ์ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า...



ลาก่อนเวียดนาม! แล้วค่อยเจอกันอีกทีที่ไซ่ง่อน...




อวสาน Travellin' light ไปเวียดนาม...