วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

travellin’ light ไปพม่า – FD 270

Air Asia ใช้เครื่องบินแอร์บัส A320 บินระหว่างดอนเมืองกับมัณฑะเลย์  ผมเลือกที่นั่ง 11A ไว้ตั้งแต่วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ปีที่แล้ว…

ที่สนามบินดอนเมือง เครื่องบินของ Air Asia  เที่ยวบิน FD 270 ไม่ได้จอดเทียบอาคารให้ขึ้นเครื่องทางงวงช้าง ผู้โดยสารจึงต้องนั่งรถแอร์พอร์ตบัสไป…

ผมได้ขึ้นรถคันแรก ใช้เวลาแค่ต้มน้ำยังไม่ทันเดือด รถก็วิ่งไปถึงเครื่องบินที่จอดรออยู่…

ขึ้นรถลำเลียงก่อนแต่ลงทีหลัง…ผมไม่รีบไม่ร้อน ปล่อยให้ผู้โดยสารคนอื่นนำหน้าขึ้นบันไดไปก่อน  อยู่ด้านหลังผมกดชัตเตอร์เก็บภาพเอาไว้

มองเห็นด้านหลังของสาวจ๊อกแมไว ๆ อยู่ข้างบน…

ผมหยุดถ่ายภาพเจ้าเครื่องยนต์ที่ใช้ขับเคลื่อนเครื่องบินลำมหึมาเอาไว้ ๑ บาน ก่อนที่จะก้าวตามสาวน้อยใหญ่ไปเรื่อย ๆ…

ผมรู้ว่าที่นั่งของตัวเองอยู่ด้านขวามือ อยู่ติดหน้าต่าง แต่ทำไมไม่ว่างหละ?

มีสาวสวยคนหนึ่งยึดที่นั่งของผมไว้แล้ว เธอพยายามจะปลดล็อค seat belt  เพื่อย้ายที่นั่ง แต่ดูขลุกขลักเหลือเกิน ผมจึงหย่อนก้นลงบนที่นั่ง 11C แทน…

ไม่เป็นไร นั่งที่ไหนก็เหมือนกัน…

อยู่ที่นั่งติดทางเดิน (aisle seat) ผมกลับมีโอกาสเห็นแอร์โฮสเตสเสื้อแดงใกล้ชิดติดขุมขน…

๑๑.๐๐ น.  การสาธิตวิธีใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ บนเครื่องบินผ่านไป กัปตันประกาศขอเวลาอีกนิดก่อนนำเครื่องขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศไม่ปกติ! ไม่นานนักเครื่องบินก็เคลื่อนตัวถอยหลัง ก่อนที่จะเดินหน้าออกไปยังทางวิ่ง เร่งเครื่องแล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า!!

ผมมีโอกาสได้คุยกับสองสาว 11 A และ 11 B ทำให้ทราบว่าทั้งคู่เป็นคนพม่า คนเสื้อสีส้มพูดภาษาอังกฤษพอเข้าใจได้ เธอบอกว่าคนพม่ามีหลายเชื้อชาติ ที่นั่งอยู่แถวหน้า(10)นั่น ก็เป็นคนพม่าทั้งหมด พอผมพูดถึงคุณยายที่นั่งอยู่ 10D ว่า “She looks Indian!”  เธอบอกผมว่านั่นเชื้อสายเนปาลเช่นเดียวกับเธอ…

แล้วสาวสวยที่แย่งที่นั่งผมไปล่ะ ทำไมดูไม่ค่อยเป็นพม่าซะเลย?  คำตอบคือเธอเป็นพม่าเชื้อสายจีน ทำงานเป็นแม่บ้านให้คนอินเดียในไทย ช่วงนี้ขอลากลับไปเยี่ยมบ้าน…

บินไปมัณฑะเลย์ใช้เวลามากกว่าบินไปย่างกุ้ง  ผมมีเวลาเหลือเฟือที่จะกรอกเอกสารเข้าเมืองที่สาวเสื้อแดง Air Asia นำมาแจก เตรียมปากกาไว้แล้ว…ผมลงมือเขียนทันที  พอผมกรอกเสร็จ… แม่สาวที่นั่งจ้องรออยู่ข้าง ๆ ก็ขอยืมปากกาไปใช้ต่อทันที!

เขียนไม่ได้หรืออย่างไรไม่รู้…พักเดียวเธอก็ยื่นเอกสารและหนังสือเดินทางของเธอมาให้ช่วยกรอก  ทำให้ผมได้เห็นหน้าตาของหนังสือเดินทางพม่า (Myanmar Passport)


พอกรอกให้สาวพม่าเสร็จ คุณยาย (10 D) ก็หันมายื่นหนังสือเดินทางและเอกสารให้ผมช่วยกรอกอีก ระหว่างลงวันเดือนปีเกิด ผมถึงได้รู้ว่าคุณยายแกอายุน้อยกว่าผม ๑ ปี  (ผมจึงเรียกตัวเองว่า “ลุง” ได้เต็มปาก อิอิ)   ตอนส่งกลับไปให้เซ็นชื่อ…ผมเห็นคุณยายขีดแค่เส้นสองเส้น (||)  อาจจะเขียนหนังสือไม่ได้ แต่ก็รวยนะ แกยื่นธนบัตรเงินจ๊าดให้ผมใบนึงเป็นค่าช่วยเขียน แต่ผมไม่รับ!

นึกว่าหมดแล้วแต่ก็ยังมีอีก คนพม่าด้านหน้า ๒ คนส่งเอกสารมาให้ผมช่วยกรอกอีก สรุปแล้ววันนี้ผมเขียนซะจนมือหงิก แต่ก็รู้สึกดีใจที่สามารถทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น แม้แต่ปากกาของผมก็ยังถูกหนุ่มพม่า 10F ยืมไปใช้!

กว่าจะช่วยเขียนให้ครบ เครื่องก็ลดระดับ...เตรียม landing เครื่องบินลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติมัณฑะเลย์อย่างราบรื่น เสียงกัปตันประกาศว่าเครื่องถึงก่อนกำหนด ๑๐ นาที…

ได้เวลาลงจากเครื่องแล้ว ลาก่อนเพื่อน ๆ ผู้ร่วมเดินทางทุกคน! 

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

Tvellin’ light ไปพม่า – สาวจ๊อกแม

Boarding Pass หายอีก!  ผมค้นหาทั่วตัว ไม่ว่าในกระเป๋าเสื้อจิงโจ้ กระเป๋ากางเกง หรือสมุดบันทึก ก็ยังไม่เจอ!  เหลืออยู่วิธีเดียว…ผมคุกเข่าลงกับพื้นแล้วมองเข้าไปใต้เก้าอี้  นั่นไง…เจ้ากระดาษบาง ๆ แผ่นนั้น มันนอนหลบอยู่ คงดีใจที่ทำให้ผมต้องวุ่นวายได้ถึงสองครั้งสองครา ผมคว้าหมับ เอามาวางไว้บนเก้าอี้ จับถ่ายรูปซะเลย…อยากหายดีนัก!  

ได้เวลาเดินหน้าต่อ….

สองเท้าก้าวเดิน…ในที่สุดผมก็เห็นป้าย Passengers Only อยู่ข้างหน้า  ตรงนั้นคงเป็นจุดที่ผู้โดยสารรอขึ้นเครื่อง!

ไม่ต้องร้องเพลง “สุขาอยู่หนใด”…ผมเห็นแล้ว เดินตรงเข้าไปสำรวจข้างในทันที

“take a leak” ไว้หน่อยเพื่อเป็นประสบการณ์ จากนั้นก็ไปนั่งรวมกับผู้โดยสารเที่ยวบิน FD 270…

บริเวณผืนพรมตรงนี้เป็นที่พักผู้โดยสาร Air Asia ทั้งหมด มันถูกแบ่งออกเป็นล็อก ๆ  สำหรับแต่ละเที่ยวบิน มีเก้าอี้นั่งหันหน้าไปยังเค้าน์เตอร์ซึ่งมีบอร์ดบอกให้ทราบถึงเที่ยวบินและปลายทาง   ยังไม่ได้เวลา… จึงยังไม่มีสาวชุดแดงมาปรากฏโฉม!

ผมเลือกนั่งเก้าอี้แถวหน้าซึ่งมี ๒ สาวนั่งอยู่ก่อนแล้ว ผมคิดว่าคงเป็นนักท่องเที่ยวไทยที่กำลังจะไปพม่า ปกติแล้วจะไม่มีใครอยากพูดจากับผม แต่สาวคนสวมเสื้อยีนส์หันมาคุยด้วย พูดได้ชัดเจนทั้งไทยลาว…เธอบอกว่าชื่อ “น้องมิน” เป็นคนพม่า มีสามีเป็นคนไทย กำลังจะกลับไปเยี่ยมบ้าน  สาวอีกคนก็พม่าเช่นกัน เวลาพูดกันผมเห็นใช้ภาษาไทย ฟังแล้วไม่รู้เลยว่าเป็นคนพม่า!!

น้องมินถามผมว่าจากมัณฑะเลย์แล้วจะไปไหน?  ผมตอบว่า “มิตจีนา” เธอบอกว่าเสียดายจัง ถ้ายังไม่มีจุดหมายก็อยากจะชวนไปเที่ยวที่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากมัณฑะเลย์ประมาณ ๖๐ กิโลเมตร เป็นเมืองที่ชื่อว่า “จ๊อกแม”

เว็บ go-myanmar.com ได้เขียนถึง “จ๊อกแม” ว่า…

Kyaukme (pronounced chalk-may) is a quiet market town which is all too often overlooked, located on the road and rail routes between Mandalay and Lashio. However, it is certainly worth a visit, with some fine colonial-era buildings, a busy local market, and numerous trekking options in the nearby hills.

“จ๊อกแม” อยู่ในรัฐฉานตอนเหนือ ในไทยวิกิพีเดียอธิบายว่า…

” รัฐฉาน” ในอดีตกาลมีชื่อเรียกว่า “ไต” หรือที่เรียกกันว่า “เมิงไต” ในสำเนียงไต หรือ “เมืองไต” ในสำเนียงไทย มีประชากรหลายชนชาติและอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยมีชนชาติไทยใหญ่อาศัยอยู่มากที่สุด เมืองไตเคยมีเอกราชในการปกครองตนเองมาเป็นเวลาหลายพันปี ก่อนที่อังกฤษจะขยายอิทธิพลเข้ามาถึง…

มิน่าเล่าน้องมินถึงพูดภาษาไทยจนฟังไม่ออกเลยว่าเป็นคนพม่า…

ช่างเป็นคนมีน้ำใจดีเหลือเกิน เธอให้เบอร์โทรที่บ้านไว้ บอกด้วยว่าก่อนที่ผมจะขึ้นรถ ให้โทรศัพท์ไปบอกก่อน…จะได้ไปรอรับที่ท่ารถ

ผมจดชื่อ “จ๊อกแม” และเบอร์โทรศัพท์บ้านน้องมินไว้ในสมุด คิดไว้ในใจว่า ถ้ามีเวลาอาจได้ไปเยือน “จ๊อกแม” เมืองไตที่พูดจากันรู้เรื่อง

คุยกับน้องมินได้พักใหญ่…ผมก็ได้ยินเสียงประกาศให้ผู้โดยสารเที่ยวบิน FD 270 ขึ้นเครื่อง!

ลาก่อนสาวจ๊อกแมผู้เปี่ยมน้ำใจ!

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

Travellin’ light ไปพม่า – boarding pass หาย!

ม่มี Boarding Pass แล้วจะขึ้นเครื่องได้อย่างไร?  ยุ่งแล้วซิ!  

ผมเดินกลับไปถามที่เคาน์เตอร์ซึ่งก่อนหน้านั้นไปขอ Departure Card เจ้าหน้าที่หนุ่ม AirAsia บอกว่าเมื่อกี้ยังเห็นอยู่ เค้าช่วยหาให้ ขณะนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ซึ่งยืนเฝ้าอยู่ตรงทางออกเดินเข้ามาแล้วยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้ บอกว่ามีคนเก็บได้แล้วนำมาให้  โอ…มันคือ boarding pass ของผมนั่นเอง!  ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยให้ปัญหาหมดสิ้นไปได้….

ได้ boarding pass กลับคืนมา ผมกรอกบัตรขาออกเรียบร้อยแล้วก็เดินไปยัง passport control สาวสวยซึ่งยืนอยู่หน้าประตูถามว่า “ลุงไปไหน?” พอทราบว่ามัณฑะเลย์ก็ชี้บอกตาแก่เมืองรถม้าให้เดินเข้าทางขวา  ผมไปยืนต่อคิวที่ช่อง “หนังสือเดินทางไทย” เพื่อประทับตราขาออก…

คนไทยสองคนที่อยู่ข้างหน้ามีปัญหาเล็กน้อย แต่ของผมเรียบร้อยทุกอย่าง แค่ยื่นเอกสารให้แล้วยืนนิ่ง ๆ ให้เค้าบันทึกภาพ เมื่อได้รับหนังสือเดินทางที่ประทับตราขาออกคืน ก็แสดงว่าผมได้เดินออกนอกประเทศแล้ว…

ต้องผ่านจุดตรวจก่อนไปรอขึ้นเครื่อง ผมวางเป้ให้เคลื่อนผ่านเครื่องเอ็กซเรย์โดยไม่ได้ไขกุญแจออก เอากล้องถ่ายรูปและของในกระเป๋ากางเกงใส่ตะกร้าให้ไหลตามไป ตัวเองเดินผ่านเครื่องตรวจอาวุธแล้วไปยืนขึ้นแท่นให้พนักงานสาวใช้ probe ตรวจอีกที  เสื้อจิงโจ้ของผมโป่งพองเป็นที่น่าสงสัย ถามว่าเป็นอะไร ผมตอบว่า “เอกสารกับกระเป๋าตังค์”  เธอใช้นิ้วเข้าแหย่ ๆ บอกว่าขอดู แต่ผมแกล้งทำเฉย คิดในใจว่าอยากดูก็ล้วงออกเองดิ สาวเจ้าไม่กล้า…ปล่อยให้ผมผ่านไป

ผมคว้าเป้และของในตะกร้าคืนแล้วเดินจากจุดตรวจไปนั่งพักที่เก้าอี้ เก็บข้าวของให้เข้าที่ ก่อนหันไปเก็บภาพที่เห็นไว้ ๑ บาน… ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว นอกจากไปที่หน้า gate เพื่อรอขึ้นเครื่อง

ผมตรวจสอบเอกสารอีกครั้ง อ้าว…boarding pass หายไปอีกแล้ว  อะไรมันจะขนาดนั้น!!!

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

Travellin’ light ไปพม่า – นั่งรถไปดอนเมือง

๓ เมษายน ๒๕๕๗ วันนี้ผมกำลังจะเดินทางไปพม่า ประมาณตี ๕ ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่ขึ้นมาสาดสองแสงทองไปยังผนังวิหารหลวงพ่อโต มีแต่ความมืดกับแสงจากหลอดไฟช่วยกันแต่งแต้มสีสันวันใหม่ให้กับบริเวณลานหน้าวัดป่าเลไลยก์  

แม่ค้ากาแฟโบราณตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ผมเป็นลูกค้าคนแรกที่มาประเดิมในเช้าวันนี้ ดื่มกาแฟไปก็นั่งคิดว่า…ก่อนบ่ายโมงวันนี้ ผมคงได้ไปยืนอยู่ในประเทศพม่า  เวลาห่างกันแค่ครึ่งวัน…ผมสามารถย้ายก้นจากร้านกาแฟวัดป่าเลไลยก์ไปนั่งอยู่ในมัณฑะเลย์!

ข้าวแฝ่ร้อน ๑ แก้ว ปาท่องโก๋ ๓ ตัว กินเสร็จแล้ว…ผมควักเงินจ่าย ๑๓ บาทโดยไม่ถามว่าเท่าไหร่ จากนั้นก็ขยับเป้ให้กระชับแผ่นหลัง สวมหมวก แล้วก้าวเดินจากร้านกาแฟโบราณ ข้ามถนนไปยืนรอรถสองแถวอยู่ที่หน้าร้าน 7-11

รออยู่พักใหญ่ รถสองแถว (วัดป่า-ตลาด) ก็ผ่านมา ผมก้าวขึ้นโดยไม่ลังเล เพราะได้สำรวจเส้นทางจากหน้าวัดป่าเลไลยก์ไปลงที่สถานีขนส่งมาแล้วเป็นอย่างดี ผมรู้ด้วยว่าจะต้องไปขึ้นรถตู้ที่ชานชาลาที่ ๘

ที่นั่นมีรถตู้จอดรออยู่แล้ว ผมถามคนขับเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าลงดอนเมืองได้ ลุงโชเฟอร์ไล่ให้รีบขึ้นรถ ก่อนที่จะตามมาเก็บตังค์ค่าโดยสาร ๑๑๐ บาท…

วิ่งออกจากสถานีขนส่งโดยผมมีนั่งอยู่คนเดียว แต่ระหว่างทางก็รับผู้โดยสารขึ้นมาเรื่อย ๆ  รถวิ่งออกทางอยุธยา เข้ารังสิต แล้วไปส่งให้ผมลงที่หน้าสนามบินดอนเมือง…

ผมลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในท่าอากาศยาน  เลี้ยวไปตามลูกศรที่บอก “ระหว่างประเทศ”

เดินไปไม่ไกลก็เจออาคารผู้โดยสารขาออก…

ต้องขึ้นไปชั้น ๓…

จากนั้นก็ไปที่ self check-in kiosk ของ AirAsia เพื่อทำการเช็คอินด้วยตนเอง

ได้ boarding pass สำหรับขึ้นเครื่องมาแล้ว…

ก่อนอื่นผมต้องไปขอ departure card จากเคาน์เต้อร์ AirAsia มากรอก…

หาที่ได้แล้ว กำลังจะลงมือกรอก ผมมองหาเจ้า boarding pass ไม่เจอ….  มันหล่นหายไปแล้ว!!! 

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

Travellin’ light ไปพม่า – ขอวีซ่าไปพม่า

กำหนดบินจากดอนเมืองไปมัณฑะเลย์ของผม คือ วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๐.๕๐ น.  ถ้าเป็นประเทศที่ไม่ต้องใช้วีซ่าอย่างเวียดนาม มาเลเซีย หรือ สิงคโปร์ ผมคงเดินทางลงกรุงเทพด้วยรถ บขส. คืนวันที่ ๒ เมษายน  ถึงสนามบินตอนเช้าแล้วขึ้นเครื่องเลย แต่พอเป็นประเทศพม่าซึ่งยังคงต้องใช้วีซ่า ผมจำเป็นต้องสละเวลาและเสียเงินเพิ่มเพื่อขอวีซ่า!!

ค่าธรรมเนียมวีซ่าอัตราปกติคือ ๘๑๐ บาท ผมจะต้องนอนรออยู่ในกรุงเทพ ๓ คืน หมดค่าที่พักและอาหารการกินอีกประมาณวันละ ๓๐๐ บาท รวมแล้วการไปพม่ามีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็น ๑,๗๒๐ บาท! เสียเวลาอีก ๒-๓ วัน

อย่างไรก็ตาม การขอวีซ่าไปพม่าทุกวันนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ขอเพียงเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน…

Application Form อัพเดทแล้วต้องมี ๒ แผ่น (มีประวัติการทำงานเพิ่มขึ้นอีก ๑) เพื่อน ๆ ดาวน์โหลดจาก ที่นี่ แล้วนำไปกรอกไว้ก่อนได้เลย  อย่างอื่นก็มีรูปถ่ายขนาด ๒ นิ้ว (พื้นขาว) ๒ ใบ หลักฐานการงงการเงินไม่ต้องใช้ ค่าธรรมเนียมถ้าเป็นแบบปกติใช้เวลา ๓ วันทำการ คือ ๘๑๐ บาท หากเป็นแบบด่วน รับวันรุ่งขึ้นต้องจ่ายเพิ่มเป็น ๑,๐๓๕ บาท…

คราวก่อนไปย่างกุ้ง ผมบินจากสุวรรณภูมิ ต้องไปพักรออยู่ที่ Madee Hostel ๓ คืน อะไรไม่เลวร้ายเท่าการเผชิญกับสภาพจราจรแออัด คนเมืองรถม้ารับไม่ค่อยไหว!  มาคราวนี้ผมตัดสินใจทำให้จบภายในวันเดียว ยอมจ่าย ๑,๒๖๐ บาท เพื่อรับหนังสือเดินทางเย็นนี้เลย!!

เสียเงินอีก ๔๕๐ บาท เพื่อจะได้ออกจากกรุงเทพมหานคร หลบไปอยู่ไหนก็ได้ที่ห่างไกลความสับสนวุ่นวาย แล้วค่อยกลับมาขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองตอนเช้าวันที่ ๓ เมษายน…

ยื่นขอวีซ่าเรียบร้อยแล้ว ผมต้องมาคิดว่าเย็นนี้ได้หนังสือเดินทางแล้วจะไปไหนดี?   มีให้เลือก ๓ ทางคือ ๑. นั่งรถโดยสารจากเอกมัยไปหาเพื่อนเก่าที่ชลบุรี   ๒. นั่งรถไฟจากหัวลำโพงไปหัวหิน  และ ๓. นั่งรถไฟฟรีจากหัวลำโพงไปสุพรรณบุรี

ผมเลือกหนทางสุดท้าย คือ นั่งรถไฟไปสุพรรณบุรี  

รถไฟที่วิ่งไปสุพรรณบุรีมีขบวนเดียว คือ ขบวน 355 ออกจากสถานีหัวลำโพงเวลา ๑๖.๔๐ น. 

ผมสั่งตัวเองว่า เย็นนี้พอได้รับหนังสือเดินทางแล้วจะต้องรีบไปขึ้นรถไฟไปสุพรรณบุรี…

ระหว่างรอ…ผมฆ่าเวลา ๕ ชั่วโมงด้วยการไปแลกเงินที่ Superrich สาขาถนนสีลม แล้วนั่งรถไฟฟ้าไปเดินในวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ ทุ่งมหาเมฆ (ชื่อเดิม) อีกครั้ง  จากนั้นก็ไปตลาดสวนพลู เข้าซอยสวนพลู ๑ เดินหาหอพักจำนงค์จนเจอ แล้วทะลุออกไปด้านหลัง  แม้แดดจะร้อน อากาศจะอบอ้าว เนื้อตัวจะเหนียวเหนอะ ผมก็ไม่หวั่น เดินเที่ยวมันไปเรื่อย ไม่รู้จักเหนื่อยอ่อน ปล่อยให้เวลาผ่านไปจนกระทั่งบ่าย ๒ โมงจึงได้กลับไปนั่งรอรับหนังสือเดินทางอยู่ที่ถนนปั้น…

คนเยอะมาก ผมเพิ่งได้มาเห็นฝรั่งลัดคิวและแย่งกันเข้าประตูก็วันนี้แหละ! เวลา ๑๕.๕๐ น. ผมได้หนังสือเดินทางมาไว้ในมือ รีบออกจากสถานทูตพม่า ต้องไปสถานีหัวลำโพงให้ทันขึ้นรถไฟไปสุพรรณบุรี!!

มีเวลาไม่มากนัก ความระทึกจึงบังเกิดกับชายผู้ไม่คุ้นเคยกับการเดินทางยุคใหม่ในเมืองหลวง!