แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มาเลเซีย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มาเลเซีย แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Final trip - Is it unachievable?


ถ้าเพื่อน ๆ เห็นเส้นทางที่ผมวางแผนไว้สำหรับ The Final trip 2023 ก็อาจคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ (unachievable) !



ลองนึกย้อนไปเมื่อปีก่อน ที่ได้ปั่นจักรยานไปมะละกา ผมออกจากสถานีรถไฟ Gemas แต่เช้า แวะกินข้าว ลงเล่นน้ำในทะเลสาบ เที่ยววัด และถ่ายรูป คือปั่นแบบไม่เร่งรีบ ด้วยระยะทางประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ขึ้นเขาเล็ก ๆ บางนิดหน่อย ถึงมะละกาประมาณ ๔ โมงเย็น ในสภาพไม่ล้า-ไม่เหนื่อย-ไม่เมื่อย-ไม่ปวด ทั้ง ๆ ที่เจ้า Banian มีเพียง 9 speeds จานหน้าขนาด 52T ใบเดียว  หากได้เปลี่ยนจานหน้าให้เล็กลงเป็น 39T ก็คงไม่ต้องลงจูง การขับขี่คงมีชีวิตชีวีขึ้น...


เอาแบบง่าย ๆ ว่า ถ้าปั่นให้ได้ซักวันละ ๕๐-๖๐ กิโลก็น่าจะพอ ค่อย ๆ เขยิบ แวะเที่ยวไปเรื่อย ๆ ทีละเมืองสองเมือง ถ้าเป็นเช่นนั้นสิ่งที่คิดไว้ก็คงไม่ไกลเกินฝัน แต่ถึงกระนั้น final trip ที่คิดไว้ก็ค่อนข้างโหดเกินไปสำหรับชายชราที่จะปั่นไปจนถึงเป้าหมาย ซึ่งก็ต้องคิดหนักอยู่สักหน่อยว่า ด้วยงบประมาณก้อนสุดท้ายผมจะเดินทางยาวไกลไปถึงไหนดี? เตรียมไว้ ๒-๓ เส้นทาง หนึ่งในนั้นคือ Hang Chat - Sydney ซึ่งมีเวลาให้ ๑ ปี ดังนี้...


ห้างฉัตร - อุตรดิตถ์ - ภูดู่ - ปากลาย - เวียงจันทน์ - ปากเซ - จำปาสัก - สุขุมา - เมืองโขง - สตรึงเตรง - เสียมเรียบ - ศรีโสภณ - ปอยเปต - สระแก้ว - ปราจีนบุรี - นครนายก -สุพรรณบุรี - นครปฐม ราชบุรี - ประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร -สุราษฎร์ - พัทลุง - หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ - ปะลิส - เกดะห์ - เปนดัง ----> โฮ้ย...เยอะเเกิน สาธยายไม่ไหวแย้ว!  เอาว่าปั่นไปจนถึงมะละกา รวมแล้วประมาณ ๔.๕๐๐ กิโลเมตร (๔ ประเทศ) !

ไหวเหร้อ??  ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่าการเลือกใช้จักรยานพับ ผมบอกเพื่อน ๆ แล้วว่า มันสามารถเอาขึ้นรถไฟ หรือรถยนต์โดยสารคันใหญ่ได้ ดังนั้นบางช่วงผมก็อาจใช้วิธีที่ถนัด คือพับมันขึ้นรถไฟ หรือยัดใส่รถ แล้วเดินทางไปข้างหน้า ในกรณีที่ไปไม่รอดจริง ๆ ก็หันหลังกลับ.. บ้านห้างฉัตรรออยู่!

ใน สปป.ลาว ผมอยู่ได้ ๓๐ วัน เขมร ๑๕ วัน ก็โอเคนะ กลับเข้าไทยแล้วก็ไปเยี่ยมพระพี่ชายที่สุพรรณบุรี ก่อนมุ่งหน้าลงใต้  มาเลเซียอยู่ได้ ๓๐ วันซึ่งเพียงพอที่จะปั่นไปถึงมะละกา เท่าที่ว่ามาก็น่าจะใช้เวลา ๓ เดือนนับจากออกบ้าน จากนั้นผมก็นั่งเรือข้ามไปอินโดนีเซีย ปั่นตามเส้นทางที่เห็น...



เกือบ ๕ พันกิโลเมตรถึงเมืองหลวงจาการ์ตา อาจดูเกินความเป็นไปได้ แต่ก็มีรถไฟหรือรถยนต์โดยสารให้เดินทางนะครับ ไปถึงชูราบายาได้สบาย ๆ และอีกไม่ไกลก็ถึงบาหลี!


ถึงตอนนั้นถ้าหมดกำลังก็นั่ง Air Asia กลับประเทศกูมี หรือถ้าจะไปต่อก็นั่ง Air Asia จากบาหลีไปเพิร์ธ ค่าตั๋วไม่แพงครับ (ประมาณ ๒ พันกว่า) แต่ต้องจ่ายให้เจ้า Banian อีก ๗๕๐ บาท ...




เส้นทาง "เพิร์ธ-ซิดนีย์" กำลังเป็นที่นิยมสำหรับนักปั่น ระยะทางเกือบ ๔ พันกิโลเมตรต้องขึ้นเขาสูงและผ่านเส้นทางสุดโหด ด้วยเวลาประมาณ ๖ เดือน (ตามที่วีซ่ากำหนด) คิดว่าผมคงโชคดีปั่นถึงซิดนีย์ได้ในที่สุด หากไม่ถูกแมงมุมหรืองูพิษกัด หรือไม่ก็โดน road train ทับซะก่อน... 


road train - ภาพจาก imgur.com (thanks)
ขอโทษด้วยครับ วันนี้เขียนเพ้อเจ้อมากไปหน่อย... 

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2562

The Final Trip - travel with weapons

วันอังคารที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙ ผมเขียนเรื่อง "รู้แล้วว่าตัวอะไร"  ลงในบล็อกท่องโลกใจความว่า...
เมื่อคืนนี้นอนฟังเสียงดมกลิ่น "ฟืดฟาด" และเสียงย่ำเท้ารอบเต็นท์...ผมไม่ได้ลุกขึ้นไปดูว่ามันเป็นตัวอะไร! 



เพื่อน ๆ ที่รักถ้าได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสายตาของผม คงจะพอจำได้ว่าผมเป็นคนสายตาสั้นมาก ๆ ชีวิตผมทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จไม่ว่าด้านไหน ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องของสายตา ตอนเรียนหนังสือ ม.ศ. ๓ ที่มงฟอร์ต มองกระดานไม่เห็นก็คิดว่าแค่พอให้จบก็พอ ไปเรียนต่อเทคนิค ทุ่งมหาเมฆ...ตอนอยู่ปี ๔ ก็ยังต้องสวมแว่นตาหนาเตอะ



 พอขึ้นปี ๕ ได้เปลี่ยนไปสวมคอนแทคเลนส์แบบแข็ง...



ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่ต้องสวมแว่น เวลาเดินทางต้องพกตลับใส่เลนส์และน้ำยาไปด้วยเสมอ...



ลำบากครับ! เนื่องจากดวงตาคนเราต้องได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ มิฉะนั้นอาจเกิดอาการตาแดงหรืออักเสบ ผู้สวมคอนแทคเลนส์แบบแข็งเวลานอนก็ต้องถอดออกใส่ตลับแล้วแช่น้ำยา เพื่อน ๆ ลองคิดดูสิครับว่านักเดินทางสายตาสั้นที่สวมคอนแทคจะลำบากแค่ไหน? ไหนจะต้องมีน้ำสะอาดไว้ล้างมือ และมีแว่นตาสำรองเตรียมไว้เวลาไม่สวมคอนแทค ยิ่งคนตาสั้นเกินพันอย่างผม พอถอดคอนแทคออกแล้วอยู่ในความมืด สภาพก็ไม่ต่างจากคนตาบอดคนหนึ่งเท่านั้น!  ด้วยเหตุนี้ผมจึงมิได้ลุกขึ้นดูว่าเสียงฟืดฟาดนั้นมันเป็นตัวอะไรกันแน่?  แต่ก็มิได้รู้สึกกลัวหรือที่ฝรั่งพูดว่า "get cold feet" เพราะผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่เสือ หรือสัตว์ร้ายที่จะมาทำอันตราย ความอ่อนเพลียจากการปั่นจักรยานร้อยกว่าโลทำให้ผมหลับเป็นตาย (sleep like a log) จนถึงเช้า...

วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ ฟ้าสางแล้ว...ผมคืบตัวออกจากดักแด้ (ถุงนอน) ขยับไปรูดซิปเต็นท์แล้วโผล่หน้าออกดู ท่ามกลางม่านหมอกบาง ผมเห็นภาพเบลอ ๆ ของวัวตัวใหญ่สามตัวกำลังยืนอยู่ห่าง ๆ มันมองมายังผมอย่างเฉยเมย (ขอนำภาพ animation น่ารักมาประกอบด้วย จริง ๆ แล้วมันเป็นวัวสีดำนะครับ – ขอขอบคุณภาพจาก clipartbest.com)



เนื่องจากไม่มีรูปสถานที่จริงเก็บไว้ ผ่านมาแล้ว ๓ ทศวรรษปัจจุบันนี้เส้นทางที่ผมปั่นจักรยานไปกัวลาลัมเปอร์กลายเป็นทางหลวงอย่างดีหมดแล้ว ผมพยายามค้นหาในอินเทอร์เน็ตเพื่อนำภาพมาประกอบ อยากให้เพื่อน ๆ ได้เห็นภาพแบบเดียวกับเช้าวันที่ผมออกปั่นจากจุดพักแรมในบิดอร์มุ่งหน้าสู่กัวลาลัมเปอร์  ได้จาก YouTube มา ๑ บานครับ ไม่แตกต่างกันเท่าใด ผมจำได้ว่ามีธารน้ำไหลผ่านใต้สะพาน หลังจากเดินลงไปล้างหน้าชำระร่างกาย (1) เก็บข้าวของแล้วผมก็ออกเดินทางต่อ...


แต่งภาพซะหน่อยเพื่อให้เห็นถุงทะเลหนักอึ้ง...อิอิ

บรรยากาศเช่นนี้เลยล่ะ...ผมต้องปั่น ๑๓๗ กิโลเมตรไปพบกับ Milon ที่ซากเครื่องบินเก่าหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกัวลาลัมเปอร์เวลา ๖ โมงเย็น!
สำหรับ Final Trip ในปี ๒๕๖๖ ผมจะปั่นจักรยานผ่านมาเลเซียอีกครั้ง คงต้องพักแรมค้างคืนอยู่ริมทาง คล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๙-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๐  แม้ว่าปัจจุบันนี้ประเทศมาเลเซียจะเจริญจนดูผิดหูผิดตา แต่บรรดาป่าใหญ่ริมทางหลวงก็ยังคงมีสภาพที่น่ากลัวและอันตรายไม่น้อย คงไม่มีเสือหรือหมีควาย แต่สัตว์ดุร้ายหรือมีพิษอื่น ๆ รวมทั้งผู้ประสงค์ร้ายก็อาจมีเข้ามาประชิดติดตัวนักปั่นผู้เดินทางมาอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย... ใครจะรู้?

ฉะนั้นแล้วจึงต้องมีอาวุธติดตัวไว้ป้องกันตนเอง ของเหล่านั้นจะต้องสามารถนำผ่านด่านหรือสถานีตำรวจเข้าไปได้ด้วย ผมยังคงใช้วิธีการเดิมในการเดินทางครั้งสุดท้าย คือมีมีดพับพกไปด้วย ๑ เล่ม 




อันนี้พับแล้วเหลือนิดเดียว เก็บไว้ในกระเป๋าคาดเอวได้....


ถ้ามิได้นำขึ้นเครื่อง ก็พออ้างได้ว่าเอาไว้ปอกผลไม้...


ยังไม่พอครับ ต้องมีอาวุธขนาดใหญ่อีกสักอย่าง  ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ก็ใช้ trick เดิมอีกนั่นแหละ 


Tuning hammer หรือที่เรียกว่าค้อนจูน เป็นเสมือนค้อนที่เหมาะมือมาก ๆ พกไปกับอุปกรณ์ตั้งเสียงเปียโน มัดรวมกันแล้วเอายัดไว้ในเป้ได้สบายมาก (ทำให้ดูแล้ว)



ผมคิดว่ากระทิงตัวใหญ่ก็ใช้สู้ได้ แถมเครื่องมือดังกล่าวยังใช้ตั้งสายเปียโนหาเงินในต่างแดนได้ด้วย...

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561

FB Trip ไปมะละกา - ทำไมถึงผิดหวัง

วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๓๐ ผมส่งไปรษณียบัตรจากมะละกาถึงแม่ที่เชียงใหม่ แม้ว่าทุกวันนี้แม่ปราณีได้จากไปแล้ว แต่พอผมนำการ์ดใบนี้ออกมาอ่าน ภาพชีวิตของเราสองแม่ลูกก็ปรากฏชัดขึ้นในสมอง... 


เพื่อน ๆ ผู้ที่ได้ติดตามเรื่อง "FB Trip ไปมะละกา" ของผม อาจไม่เข้าใจว่าเหตุใดผมจึงผิดหวังมากมายถึงขนาดไม่ยอมถ่ายภาพเมืองแห่งมรดกโลกเอาซะเลย! อยากให้ลองมาเป็นผมดูบ้าง! ปั่นจักรยานลุยเดี่ยวไปสิงคโปร์เมื่อปี ๒๕๓๐ ผมเขียนบอกแม่ว่า... 
"เช้านี้ได้ซักกางเกงและเสื้อผ้าที่สกปรกทั้งหมดที่ธารน้ำเล็ก ๆ เบื้องล่างแล้วเอาขึ้นไปตากที่ราวเหล็กข้างทาง จากนั้นก็เอาขนมเค้กและผลไม้ออกมากินเป็นอาหารเช้า จดบันทึก เขียนจดหมาย และรอเวลาให้ผ้าแห้ง จากนั้นจึงจะออกเดินทางไปมะละกา ผมตั้งใจว่าจะพักที่มะละกาสัก ๑-๒ คืนแล้วมุ่งหน้าต่อไป เหลืออีกประมาณเกือบ ๓๐๐ กิโลเมตรเท่านั้น  ผมก็จะถึงสิงคโปร์ กล่าวคือผมเดินทางไปได้ ๒ ใน ๓ ของเส้นทางทั้งหมด หนทางที่ลำบากมาก ๆ ก็ผ่านมาแล้ว ต่อไปก็จะไม่ลำบาก เพราะไม่ต้องขึ้นภูเขาสูงดังที่ผ่านมาระหว่างปีนังกับกัวลาลัมเปอร์...."  

ยังครับ...ยังเห็นไม่ชัดว่ามะละกาเมื่อ ๓๑ ปีที่แล้วทำให้ผมประทับใจมากน้อยเพียงใด ต้องมาดูไปรษณียบัตรอีกฉบับ (ส่งที่ไปรษณีย์มะละกาในวันเดียวกัน)




ผมเขียนบอกแม่ว่า...
"ขณะนี้ผมมีความสุขจริง ๆ ครับ เพราะผมเดินทางถึงมะละกาแล้ว ผมขี่จักรยานออกจากตัวเมืองไปยังชายหาดซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ได้เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งชื่อ "ยาชิก้า" ค่าพักคืนละ ๖๐ บาท ห้องที่ผมพักอยู่มีหน้าต่างติดชายหาด ห่างจากน้ำทะเลเพียงประมาณ ๘ เมตร มองเห็นทะเลไกลออกไปสุดสายตา ท้องฟ้าสีคราม เวลาดวงอาทิตย์ตกยิ่งสวยงามยิ่งนัก คลื่นที่ซัดเข้ามายังชายหาดก็ยังดังอยู่ไม่ขาดระยะ
ผมออกมานั่งที่บริเวณร้านอาหารของโรงแรมซึ่งยื่นออกไปในชายหาด ลมพัดเอื่อย ๆ สั่งกาแฟดำร้อน ๆ มากิน ๑ แก้ว แล้วนั่งเขียนไปรษณียบัตรนี้มาถึงแม่นี่แหละ ใส่กางเกงอาบน้ำตัวเดียว สวมเสื้อกล้าม รองเท้าฟองน้ำถอดไว้ที่พื้นแล้วยกเท้าวางไว้บนเก้าอี้ เหยียดขาตาสบาย เขียนไปก็เฝ้าดูพระอาทิตย์ตกดิน (ตกน้ำทะเล) ต่ำลง ๆ ทุกขณะ 
ตอนนี้ผมอยู่ห่างจากสิงคโปร์ประมาณ ๒๔๕ กิโลเมตรเท่านั้น ผมอาจจะพักที่นี่สัก ๓ คืนก็ได้ ตอนกลางวันผมจะขี่จักรยานเข้าไปในตัวเมือง เที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ของเขา พอตกเย็นก็ขี่กลับที่พัก นอนฟังเสียงคลื่น เปิดวิทยุ ใส่หูฟังเพลิน ๆ หลังจากที่ปั่นมาอย่างทรหดหลายวัน และตั้งเต็นท์นอนข้างทางก็หลายคืน อย่างนี้แล้ว...แม่จะไม่ให้มีความสุขได้ยังไงครับ?
มะละกาเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของมาเลเซีย มีประวัติความเป็นมาได้เกือบ ๖๐๐ ปี ประชากรก็ประกอบด้วยกันหลายเชื้อชาติ แขก จีน อินโด ชวา และอื่น ๆ พวกโปตุเกสก็เคยยึดครองมะละกาอยู่นานถึง ๑๓๐ ปี ดังนั้นในเมืองจึงมีอะไรดี ๆ ให้ดูไม่น้อย...."

น่าเสียดายที่ไปมะละกาครั้งแรกผมไม่ได้นำกล้องถ่ายรูปไปด้วย มิฉะนั้นแล้วคงจะมีภาพมาให้เพื่อนได้ดูเป็นแน่แท้ อย่างไรก็ตามทริปไปมะละกาอีก ๒ ครั้งต่อมาก็พอจะมีภาพซึ่งผมสแกนมาให้เพื่อน ๆ ดูแล้วดังนี้ (ต้องขออภัยที่ไม่ชัด)...






















แล้วมะละกาทุกวันนี้เป็นเช่นไร?  ผมไม่มีภาพมาฝากเพื่อน ๆ ต้องขอนำภาพจาก google street views มาให้ดูแทนสัก ๓-๔ บาน... 


ภาพจาก google stree views (thanks!)

ภาพจาก google stree views (thanks!)

ภาพจาก google stree views (thanks!)

ภาพจาก google stree views (thanks!)

เพื่อน ๆ อยากดูให้เห็นชัด ๆ ก็เข้าไปดูใน google earth นะครับ...


Tanjung Kling ที่ผมเคยไปนอนดูพระอาทิตย์ตกน้ำเมื่อ ๓๑ ปี เคยบอกแม่ว่ามีชายหาด ตอนนี้มันไม่มีแล้วครับ...


ถ้าต่อไประดับน้ำทะเลสูงขึ้น เค้าไม่กลัวถูกน้ำท่วมกันเลยหรือเนี่ย?

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561

FB Trip ไปมะละกา - Touch City

เวลา ๑๑ โมงครึ่งโดยประมาณ ปั่นจักรยานมาถึงวัดจีนขนาดใหญ่...ผมแวะหยุดพักและตั้งหลัก ด้วยความสงสัยว่าทำไมยังถึงเมืองมะละกาซักกะที?


หายเหนื่อยแล้ว ผมจูงจักรยานไปจอดใกล้ ๆ ซุ้มประตู


วัดใหญ่โตมากครับ แต่ผมเดินเก็บภาพได้ไม่มาก เพราะใจพะวงอยู่แต่เรื่องเมืองมะละกา...







เป็นการลงทุนของนักธุรกิจที่ได้ซื้อ Auyin-Hill Resort ซึ่งอยู่บนเส้นทาง M19 (Jalan Simpang Gading/Ayer Pasir) เมื่อปี ๒๕๕๙ แล้วพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็น The Touch City 





ผมไม่ได้เข้าชมข้างในแล้วเก็บภาพมาฝาก ตอนนั้นก็ไม่คิดอยากจะเห็นโดยถ้วนทั่วด้วย ยิ่งมารู้ทีหลังว่าเค้าเก็บค่าเข้าชมคนละ RM38 บอกได้เลยว่าดีแล้วที่ตัดสินใจเดินทางต่อ ถึงอย่างไรก็ยังอยากให้เพื่อน ๆ ได้เห็นความงดงาม จึงต้องขอนำภาพจากเว็บของ The Touch City มาให้ดูพอเป็นกระสายดังนี้…








บันไดขึ้นสูงจังเลย ผมคงขึ้นไม่ไหว... ดีแล้วที่ผมไม่ได้ซื้อบัตร (เกือบ ๔๐๐ บาท) เข้าชม!