เมื่อคืนนี้นอนฟังเสียงดมกลิ่น "ฟืดฟาด" และเสียงย่ำเท้ารอบเต็นท์...ผมไม่ได้ลุกขึ้นไปดูว่ามันเป็นตัวอะไร!
เพื่อน ๆ ที่รักถ้าได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสายตาของผม คงจะพอจำได้ว่าผมเป็นคนสายตาสั้นมาก ๆ ชีวิตผมทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จไม่ว่าด้านไหน ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องของสายตา ตอนเรียนหนังสือ ม.ศ. ๓ ที่มงฟอร์ต มองกระดานไม่เห็นก็คิดว่าแค่พอให้จบก็พอ ไปเรียนต่อเทคนิค ทุ่งมหาเมฆ...ตอนอยู่ปี ๔ ก็ยังต้องสวมแว่นตาหนาเตอะ
พอขึ้นปี ๕ ได้เปลี่ยนไปสวมคอนแทคเลนส์แบบแข็ง...
ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่ต้องสวมแว่น เวลาเดินทางต้องพกตลับใส่เลนส์และน้ำยาไปด้วยเสมอ...
ลำบากครับ! เนื่องจากดวงตาคนเราต้องได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ มิฉะนั้นอาจเกิดอาการตาแดงหรืออักเสบ ผู้สวมคอนแทคเลนส์แบบแข็งเวลานอนก็ต้องถอดออกใส่ตลับแล้วแช่น้ำยา เพื่อน ๆ ลองคิดดูสิครับว่านักเดินทางสายตาสั้นที่สวมคอนแทคจะลำบากแค่ไหน? ไหนจะต้องมีน้ำสะอาดไว้ล้างมือ และมีแว่นตาสำรองเตรียมไว้เวลาไม่สวมคอนแทค ยิ่งคนตาสั้นเกินพันอย่างผม พอถอดคอนแทคออกแล้วอยู่ในความมืด สภาพก็ไม่ต่างจากคนตาบอดคนหนึ่งเท่านั้น! ด้วยเหตุนี้ผมจึงมิได้ลุกขึ้นดูว่าเสียงฟืดฟาดนั้นมันเป็นตัวอะไรกันแน่? แต่ก็มิได้รู้สึกกลัวหรือที่ฝรั่งพูดว่า "get cold feet" เพราะผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่เสือ หรือสัตว์ร้ายที่จะมาทำอันตราย ความอ่อนเพลียจากการปั่นจักรยานร้อยกว่าโลทำให้ผมหลับเป็นตาย (sleep like a log) จนถึงเช้า...
วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ ฟ้าสางแล้ว...ผมคืบตัวออกจากดักแด้ (ถุงนอน) ขยับไปรูดซิปเต็นท์แล้วโผล่หน้าออกดู ท่ามกลางม่านหมอกบาง ผมเห็นภาพเบลอ ๆ ของวัวตัวใหญ่สามตัวกำลังยืนอยู่ห่าง ๆ มันมองมายังผมอย่างเฉยเมย (ขอนำภาพ animation น่ารักมาประกอบด้วย จริง ๆ แล้วมันเป็นวัวสีดำนะครับ – ขอขอบคุณภาพจาก clipartbest.com)
เนื่องจากไม่มีรูปสถานที่จริงเก็บไว้ ผ่านมาแล้ว ๓ ทศวรรษปัจจุบันนี้เส้นทางที่ผมปั่นจักรยานไปกัวลาลัมเปอร์กลายเป็นทางหลวงอย่างดีหมดแล้ว ผมพยายามค้นหาในอินเทอร์เน็ตเพื่อนำภาพมาประกอบ อยากให้เพื่อน ๆ ได้เห็นภาพแบบเดียวกับเช้าวันที่ผมออกปั่นจากจุดพักแรมในบิดอร์มุ่งหน้าสู่กัวลาลัมเปอร์ ได้จาก YouTube มา ๑ บานครับ ไม่แตกต่างกันเท่าใด ผมจำได้ว่ามีธารน้ำไหลผ่านใต้สะพาน หลังจากเดินลงไปล้างหน้าชำระร่างกาย (1) เก็บข้าวของแล้วผมก็ออกเดินทางต่อ...
แต่งภาพซะหน่อยเพื่อให้เห็นถุงทะเลหนักอึ้ง...อิอิ
สำหรับ Final Trip ในปี ๒๕๖๖ ผมจะปั่นจักรยานผ่านมาเลเซียอีกครั้ง คงต้องพักแรมค้างคืนอยู่ริมทาง คล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๙-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ แม้ว่าปัจจุบันนี้ประเทศมาเลเซียจะเจริญจนดูผิดหูผิดตา แต่บรรดาป่าใหญ่ริมทางหลวงก็ยังคงมีสภาพที่น่ากลัวและอันตรายไม่น้อย คงไม่มีเสือหรือหมีควาย แต่สัตว์ดุร้ายหรือมีพิษอื่น ๆ รวมทั้งผู้ประสงค์ร้ายก็อาจมีเข้ามาประชิดติดตัวนักปั่นผู้เดินทางมาอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย... ใครจะรู้?บรรยากาศเช่นนี้เลยล่ะ...ผมต้องปั่น ๑๓๗ กิโลเมตรไปพบกับ Milon ที่ซากเครื่องบินเก่าหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกัวลาลัมเปอร์เวลา ๖ โมงเย็น!
ฉะนั้นแล้วจึงต้องมีอาวุธติดตัวไว้ป้องกันตนเอง ของเหล่านั้นจะต้องสามารถนำผ่านด่านหรือสถานีตำรวจเข้าไปได้ด้วย ผมยังคงใช้วิธีการเดิมในการเดินทางครั้งสุดท้าย คือมีมีดพับพกไปด้วย ๑ เล่ม
อันนี้พับแล้วเหลือนิดเดียว เก็บไว้ในกระเป๋าคาดเอวได้....
ถ้ามิได้นำขึ้นเครื่อง ก็พออ้างได้ว่าเอาไว้ปอกผลไม้...
ยังไม่พอครับ ต้องมีอาวุธขนาดใหญ่อีกสักอย่าง ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ก็ใช้ trick เดิมอีกนั่นแหละ
Tuning hammer หรือที่เรียกว่าค้อนจูน เป็นเสมือนค้อนที่เหมาะมือมาก ๆ พกไปกับอุปกรณ์ตั้งเสียงเปียโน มัดรวมกันแล้วเอายัดไว้ในเป้ได้สบายมาก (ทำให้ดูแล้ว)
ผมคิดว่ากระทิงตัวใหญ่ก็ใช้สู้ได้ แถมเครื่องมือดังกล่าวยังใช้ตั้งสายเปียโนหาเงินในต่างแดนได้ด้วย...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น