เมื่อคืนนี้เก็บข้อมูลลงสมุดบันทึก… ผมคัดเอาแต่ที่จำเป็นและมีประโยชน์สำหรับการ improvise เส้นทางในพม่า สมุดบันทึกก็เลือกเอาเล่มที่เบาที่สุดเท่าที่จะหาได้…
ระหว่างเข้าไปค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ดันไปเจอสิ่งที่ตัวเองเขียนไว้เมื่อ ๑๐ ปีก่อน ใน “One of those days” มันตรงกับที่ผมกำลังจะย้อนรอยกลับไปพอดี ผมได้เขียนไว้ว่า….
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมได้ไปเหยียบแผ่นดินถิ่นพม่าอีกครั้ง แม้จะเป็นแค่เพียงการข้ามสะพานผ่านแดนเข้าไปหาซื้อแผ่นดีวีดีแล้วกลับออกมา แต่บรรยากาศและภาพที่ได้เห็นทางฝั่งโน้นก็ทำให้ผมต้องกลับมานั่งรำลึกถึงการเดินทางไปพม่าครั้งแรกของผมเมื่อปี ๒๕๒๖ ครั้งนั้นมันเป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต ถ้าจะให้เล่าถึงความอ่อนหัดของผม ก็คงจะคุยกันได้เป็นวัน ๆ หรือถ้าจะให้ถ่ายทอดออกเป็นตัวหนังสือเพื่อบรรยายความโง่เขลาของตัวเอง ก็คงจะออกมาเป็น pocket book หนาซัก ๑๐๐ หน้าก็ไม่น่าจะผิด ผู้คนที่ผมได้พบปะในการเดินทางครั้งนั้น บางคนอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะแก่ตัวลงไปมาก (เหมือนผม..อิอิ) คงไม่มีใครจดจำนักเดินทางชาวไทยคนนี้ได้อีก แต่ผมเองยังคงจำได้แทบจะทุกคน ยังอยากจะมีโอกาสได้กลับไปพบเขาเหล่านั้นอีกสักครั้ง เสียดายจริง ๆ ที่ผมไม่มีทุนพอที่จะเดินทางย้อนรอยเดิม กลับไปพร้อมกับรูปถ่ายและที่อยู่เพื่อตามหาผู้ที่อยู่ในภาพ ถ้าหากเจอะเจอ ผมก็อยากจะขอแก้ตัวในสิ่งที่ทำผิดพลาดหรือไม่ดีเท่าที่ควรในอดีต
อย่างเช่นเมื่อปี ๒๕๒๖ วันนั้นผมและเพื่อนนักเดินทางอีกหลายคนต้องออกจากเมืองพุกามแต่เช้ามืด เพื่อเดินทางไปยังสถานีรถไฟ Thazi จากที่นั่น บางคนจับรถไฟขึ้นเหนือไปยังมัณฑะเลย์ บางคนอาจจะเลือกไปเที่ยวเมือง Taunggyi ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนผมต้องกลับไปย่างกุ้งเพราะการเดินทางในพม่ากำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว ทางการพม่าเค้าอนุญาตให้อยู่ได้แค่ ๗ วัน ทุกคนจึงต้องรีบเที่ยว ๆๆๆ ภายในระยะเวลาที่มีจำกัด จากนั้นก็ต้อง “ออกไป้!” หนึ่งสัปดาห์ในพม่าผมนอนที่ไหนมาแล้วบ้างน้า? ลองคิดก่อนนะ อ่อ..คืนแรกนอนที่โรงแรมเก่าชื่อ Garden Hotel ในย่างกุ้ง คืนที่สองนอนบนรถไฟไปมัณฑะเลย์ คืนที่ ๓ นอนที่ Mea Tarma Hotel ในมัณฑะเลย์ คืนที่ ๔ นอนที่เกสต์เฮ้าส์เมือง Pakokku จุดพักของเรือโดยสารจากมัณฑะเลย์-พุกาม คืนที่ ๕-๖ นอนที่ Sithu guest-house ในพุกาม คืนสุดท้ายผมต้องนอนในย่างกุ้ง การเดินทางคนเดียว นอกจากเราจะต้องดูแลตนเองและระมัดระวังทุกอย่างโดยไม่มีเพื่อนคู่คิดแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราจะโหยหาคือ เมื่อกลับมาแล้ว เราไม่สามารถมีเพื่อนที่จะคุยถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาด้วยกันได้อย่างถึงพริกถึงขิง ทำได้ก็แค่เพียงนำเรื่องราวมาถ่ายทอดลงบนตัวหนังสืออย่างที่ผมกำลังทำอยู่นี่แหละ ถึงอย่างไรผู้อ่านก็ไม่มันส์ในอารมณ์เท่ากับได้ไปเจอด้วยตนเอง
การเดินทางด้วยรถตู้จากพุกาม ผ่านเมือง Meiktila นั้นราบรื่นดี เสียดายที่ออกเดินทางกันตั้งแต่ตีสี่ จึงทำให้ไม่ได้เห็นภาพสองข้างทาง ผู้โดยสารส่วนใหญ่นั่งหลับต่อ จนถึงสถานีรถไฟ Thazi เมื่อเวลา ๗.๓๐ น. ดูรูปที่สถานีรถไฟนี่สิครับ… เจ้าหมอที่ใส่เสื้อนักปฏิบัติธรรมนั่น สวมรองเท้าแตะ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นนักเดินทางจากประเทศสยาม ไม่มีเป้ ไม่มีถุงนอน ไม่มีอุปกรณ์อะไรทั้งนั้น (นี่เป็นข้อผิดพลาดที่จะลืมไม่ได้เลย) ที่สถานีรถไฟ ผมต้องอยู่รอรถไฟจากมัณฑะเลย์นานเป็นชั่วโมง ผมซื้อผลไม้ กาแฟและโรตีกินเป็นอาหารเช้า วันนั้นผมได้รู้จักเพื่อนชาวพม่าอีกสองคน คนหนึ่งชื่อ Daw Ah Shwin อยู่ที่สำนักงานกรมชลประทาน เมือง Meiktila คนนี้ผมแน่ใจว่า ถ้าได้ไปเยือนพม่าอีกครั้ง ผมหาตัวได้แน่นอน… และยังมีอีกคนหนึ่ง คือคุณป้า Daw Tin Tin เป็นครูสอนในโรงเรียนมัธยมที่ Meiktila เช่นกัน คนนี้แหละ…เป็นคริสเตียนซึ่งบอกผมว่าท่านมีหลานสาว (สวย…บอกด้วยนะ) ถ้าอยากได้เป็นเมียละก้อ ผมจะต้องแต่งงาน แล้วพาเธอออกจากประเทศพม่าไปอยู่เมืองไทย…. นี่เป็นเรื่องจริงนะ ท่านก็ไม่ได้พูดเล่น ๆ และภาษาอังกฤษที่ท่านพูดก็ฟังได้ชัดเจน ผ่านมาตั้ง ๒๒ ปีแล้ว ผมยังจำคำพูดของคุณป้าได้ แม้แต่..คำเตือนให้ระวังเมื่อเห็นผมใช้มีดเล็ก ๆ ปอกผลไม้ว่า “Mind your hand” มีรูปด้วยนะ แต่ยังหาไม่เจอ! จดหมายที่ติดต่อกันภายหลังจากที่ผมเดินทางกลับเมืองไทยแล้วก็มี แต่หาไม่เจอเหมือนกัน(อีกแล้ว อิอิ) ผมยังเชื่อว่าปัจจุบันคุณป้ายังคงมีชีวิตอยู่ เพราะเท่าที่ผมเห็น ท่านเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ท่าทางแข็งแรง แต่ถ้ายังอยู่ ก็คงจะแก่มากแล้วล่ะ ส่วนหลานสาวที่ท่านพูดถึง ป่านนี้คงมีครอบมีครัว หรืออาจจะย้ายไปอยู่ประเทศอื่นแล้วก็ได้(?) ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ผมมองดูทรงผมทรงเต่าทองในภาพแล้วหันมาพิจารณาผมขาวบนศีรษะในวันนี้แล้ว อืมม์! กาลเวลาที่ผ่านไปเพียงสองทศวรรษ มันทำให้ร่างกายของคนเราเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ไม่มีใครเลยที่จะสามารถย้อนคืนสู่สภาพเดิมได้อีก เพื่อนของผมหลายคนตัดช่องน้อยแต่พอตัว ละทิ้งร่างกายซึ่งร่วงโรยไปแล้ว ยังเหลือผมคนนึงที่จะต้องก้าวเดินต่อไป อีกนานสักแค่ไหน ไม่มีใครรู้ได้!!
ทุกวันนี้ผมยังคงเก็บจดหมายของ Daw Ah Shwin ที่ส่งจาก Meiktila ไว้
Aerogram จากป้า Daw Tin Tin ก็ยังอยู่…
คนเขียนจดหมายอาจจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านจะรู้หรือไม่ว่าผมกำลังจะผ่านไป Meiktila ในอีกไม่กี่วันนี้!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น