แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปั่นจักรยาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปั่นจักรยาน แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เพื่อนผมไปถึงไหนแล้ว?

เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ ผมได้พบเพื่อนใหม่ เป็นนักปั่นจักรยานท่องโลกชาวเกาหลีชื่อ Woojong Kim หรือ Jeremy...


เป็นหนึ่งในสมาชิก warmshower.org ผมเป็น host ให้กับนักจักรยานหนุ่มจากกรุงโซล ซึ่งได้มาพักที่บ้าน ๑ คืน ก่อนที่เขาจะปั่นจักรยานไปแม่สอด เข้าพม่าแล้วไปอินเดีย


ต่อมาผมทราบว่า Jeremy เดินทางถึงทัชมาฮาล...

ภาพจาก facebook ของ Woojong Kim
และเมื่อวันอาทิตย์ (ที่ ๑๒) ที่ผ่านมา ผมเห็นภาพที่ Jeremy โพสต์ขึ้น facebook ของเขา รู้สึกดีใจที่เพื่อนผู้กล้าหาญและอดทนได้เดินทางถึง Berlin...

ภาพจาก facebook ของ Woojong Kim
ผมส่งข้อความถึงเขาว่า "You are really GREAT, my friend.  I wish I could do half a bit of you."


เกือบสองปีแล้วซินะ ที่ชายคนนี้ได้ปั่นไปตามเส้นทางในฝัน ขอให้ปั่นแทนผมด้วยก็แล้วกัน!

วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

๔๐ นาทีระทึก

ขี่จักรยานจากที่ทำการตำรวจตำบลไทรย้อยไปยังสถานีรถไฟเด่นชัย เมื่อค่ำวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นกี่กิโลเมตร พอมาเปิด google maps ดูทีหลังถึงรู้ว่า ๘.๘ กิโลเมตร...



ผมใช้คำว่า "ฝ่าความมืด" ก็เพราะมันมืดจริง ๆ ครับ บางช่วงเหมือนคนตาบอดก็ว่าได้ คืนข้างแรม ๑๐ ค่ำอาศัยแสงจันทร์ไม่ได้เลย!  โชคดีที่เคยปั่นจักรยานในตัวเมืองและรอบ ๆ สถานีรถไฟมาแล้ว จึงไม่ต้องควานหาสถานีรถไฟ ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่สามารถใช้เส้นทางลัดจากถนนใหญ่ (101) ซึ่งเห็นได้ชัดในตอนกลางวัน...


ผมปั่นมุ่งหน้ามาด้วยความหวังว่าจะเจอสถานที่ที่รู้จัก ในที่สุดผมก็ได้เห็น"วัดแพร่ธรรมาราม" อยู่ด้านขวามือ บริเวณนั้นมืดมาก ไม่มีรถผ่านมาแม้แต่คันเดียว พอข้ามพ้นทางรถไฟผมก็เห็นถนนที่มีแสงไฟส่องสว่างอยู่ข้างหน้า มาทางนี้แม้จะอ้อมหน่อย ก็ยังดีกว่าหลงไปอยู่ตรงไหนไม่รู้


ผมควบเจ้า Banian ตรงไปยังสถานีรถไฟเด่นชัยด้วยความโล่งใจ ไม่ตกรถไฟแล้ว ซื้อตั๋วได้เมื่อเวลา ๑๘.๔๗ น. แสดงว่าปั่นจักรยานจากแยกปางเคาะมายังสถานีรถไฟเด่นชัยระยะทาง ๙ กิโลเมตร ผมใช้เวลาประมาณ ๔๐ นาที


ขึ้นนั่งประจำที่แล้วครับ...


ยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ไปปั่นในกรุงเทพจะต้องใจระทึกอีกแค่ไหน!

วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ที่ทำการตำรวจตำบลไทรย้อย

ดูระยะทางบนทางหลวงหมายเลข 11 ที่ผมขี่จักรยานจากบ้านแม่ปานไปถึงแยกปางเคาะ จาก google maps... ผมเพิ่งรู้ชัดว่ามันคือ ๑๓ กิโลเมตร



ผมต้องปั่นข้ามเขาอย่างที่เห็นในภาพถ่ายดาวเทียม กว่าจะถึงจุดที่เป็นทางเรียบ ขณะนั้นใกล้ค่ำ...แสงเหลือน้อยเต็มที !


"แยกปางเคาะ" คือจุดตัดหรือ intersection ใหญ่ บอกให้รู้ว่าเข้าเขตเด่นชัยแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะต้องไปอีกไกลเท่าไหร่กว่าจะถึงสถานีรถไฟ?


ผ่านสามแยกมาได้นิดเดียว ผมเห็นสถานีตำรวจอยู่ทางด้านขวามือ รีบหักเลี้ยวทันที ข้ามเส้นแบ่งถนน ผ่านกรวยไปยังอาคารหลังเล็กที่อยู่ด้านหน้า...

ภาพที่ทำการตำรวจตำบลไทรย้อย - นำมาจาก street view (google earth)
ด้วยเหงื่อย้อยท่วมหน้า...ผมลงรถ ปลดเป้แล้ววางบนม้าหิน นายตำรวจคนหนึ่งเดินจากศาลาด้านข้างเข้ามาสอบถาม ผมแจ้งว่าปั่นจักรยานมาจากบ้านปิน กำลังจะไปต่อรถไฟที่สถานีเด่นชัย ตำรวจไทยบอกให้ผมนั่งพักก่อน นำน้ำเย็นมาให้ดื่ม แถมยังชวนกินข้าวอีก...


ก่อนหน้านั้นผมคิดว่ารถเร็วจากเด่นชัยไปกรุงเทพจะออกก็ใกล้ ๆ สองทุ่ม แต่นายตำรวจได้ให้ความจริงว่ารถออกเวลาหนึ่งทุ่มห้านาที บอกผมว่าสถานีรถไฟอยู่ไม่ไกลแล้ว มีห้องน้ำห้องท่าจะอาบน้ำก่อนก็ได้  คงจะลืมไปว่าการที่ผมจะปั่นจักรยานไปหาสถานีรถไฟในขณะที่ท้องฟ้ามืดสนิทภายในเวลาอันจำกัดนั้นเป็นเรื่องลำบากและเสี่ยงต่อการพลาดรถไฟ

เสียงเพลงชาติดังจากโทรทัศน์ที่เปิดอยู่แสดงว่า ๖ โมงเย็นพอดี ไม่เห็นมีใครยืนตรงเคารพธงชาติสักคน...ผมไม่กลัวตำรวจจับแต่คิดในใจว่า ปั่นจักรยานจากบ้านแม่ปานมาถึงจุดนี้ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่ง ตอนนี้มีเวลาเหลืออีก ๑ ชั่วโมงที่จะปั่นไปหาสถานีรถไฟเด่นชัย!!  อยู่ไม่ได้แล้ว...ผมรีบเก็บของแล้วขอบคุณตำรวจไทยใจดี คว้าจักรยานออกปั่นต่ออย่างไม่รีรอ ในขณะที่แสงสว่างบนท้องฟ้าเหลือน้อยเต็มที ไฟฉายส่องสว่างหรือไฟกระพริบก็ไม่มี เสียงผู้หมวดเตือนว่าข้างหน้าจะมีเนินเขาเล็ก ๆ อีกลูก ผมยิ่งกังวลใจ!...


เหยียบบันไดหนักขึ้น ผมเร่งจักรยานให้พุ่งฝ่าความมืดไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต!

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ปั่นจักรยานไปทุ่งสังหาร พนมเปญ


ปั่นจักรยานจากวัดโตลทมปง (Wat Toul Tom Poung) ซึ่งอยู่บนถนนเมาเซตุง (245) ไปจนถึงถนนสมเด็จมุณีเรศ (217) ต้องหาทางไปยังสะพานข้ามแม่น้ำให้ได้ ผมมองไม่เห็นป้ายบอกทางไปทุ่งสังหารหรือเจืองเอ็ก (Choeung Ek ) เลย!!


ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ใช้สมาร์ทโฟนดี ๆ มีเครื่องมือนำทางก็คงไม่ยาก แต่ตาแก่เมืองรถม้าได้แต่อาศัยความรู้สึกบอกให้ตัวเอง พุ่งทะยานตามชาวบ้านไปข้างหน้า ท่ามกลางจราจรที่สับสน บนเส้นทางคอขวดเนื่องจากกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง


เมื่อกลับถึงบ้าน ผมเข้า google earth ถึงได้รู้ว่าถ้าใช้เส้นทางถนน Veng Sreng ไปยังศูนย์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เจื่องแอ็ก (Choueng Ek Genocidal Center) มีระยะทาง ๑๑ กิโลเมตร ขณะเดียวกันก็ยังมีเส้นทางลัดไปถึงจุดหมายเดียวกันได้ด้วยระยะทาง ๙.๔ กิโลเมตร

Jeremy เพื่อนนักปั่นจักรยานรอบโลกชาวเกาหลีเคยเล่าให้ฟังว่าตอนไปทุ่งสังหารเค้ามีอาการเจ็บก้นจนปั่นจักรยานไม่ได้..ต้องเดินไป ทีแรกก็รู้สึกทึ่งแต่พอได้เห็นใน google ก็สิ้นสงสัย เพราะเส้นทางลัดใช้เวลาเดินไปแค่ ๒ ชั่วโมงเอง

สำหรับผมนั้น...การปั่นจักรยานไปตามถนน Veng Sreng เกือบ ๒ กิโลเมตร นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ลืมไม่ลงหรือเรียกว่า an unforgettable ride ก็น่าจะได้ อยากให้เพื่อน ๆ ลองนึกสภาพถนนเก่าที่ถูกเปิดหน้าออกแต่ยังบดอัดไม่เสร็จ เหลือแค่เพียงพื้นที่บางส่วนให้สัญจร จักรยานต้องลงไปวิ่งบนไหล่ทางซึ่งบางจุดมีหินแหลมคม บางจุดคลุ้งไปด้วยฝุ่นจากดินลูกรัง ในขณะที่แสงแดดก็แผดเผาอย่างไม่ปรานี...

ขี่จักรยานถึงทางแยกซึ่งมีถนนคอนกรีตกว้าง (1) โชคดีที่แวะถามพนักงานสาวบริษัทรถทางด้านขวามือ เธอช่วยชี้ทางให้ ถ้าไม่เลี้ยวซ้ายผมคงจะหลงออกไปไกล!


ปั่นจักรยานไปอีก ๔ กิโลเมตรครึ่งบนเส้นทาง 217 (2) ในที่สุดก็เห็นป้ายอยู่ทางด้านซ้ายมือ (3) บอกทางไป "ศูนย์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เจื่องแอ็ก (Choueng Ek Genocidal Center)"



ถ่ายรูปจักรยานไว้หน่อย ลุยมาถึงที่นี่ได้โดยยางไม่รั่วก็บุญโขแล้ว!


ตรงไปตามเส้นทางที่ครั้งหนึ่งเคยมีรถบรรทุกพาผู้เคราะห์ร้ายจากคุกโตลสเลงไปประหาร!!



ถึงแล้วครับ! ผมนำจักรยานไปยังจุดรับฝาก (P)...



แล้วเดินเข้าไปยังทุ่งสังหารทันที!


เห็นภาพที่คุกโตลสเลงมาแล้ว... ผมคิดว่าที่นี่คงจะน่าสลดหดหู่ใจยิ่งกว่านั้น!

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

ปั่นจักรยานไปนครธม

จากนครวัดผมปั่นจักรยานไปนครธม  หยุดถ่ายภาพเพื่อนเดินทางผู้ซื่อสัตย์ไว้ ๑ บาน...เห็นยอดปราสาทนครวัดอยู่ลิบ ๆ 


จากนั้นก็ปั่นไปอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร... ถึงสะพานนาคราชข้ามคู (2) ไปสู่ประตูทิศใต้ (south gate) ของนครธม...


นครธมมีเนื้อที่กว้างใหญ่กว่านครวัดหลายเท่า ตรงกลางคือปราสาทบายน (Prasat Bayon)  ตื่นตากับซุ้มประตูที่เห็นเบื้องหน้า... ผมจอดจักรยานไว้ก่อนข้ามสะพาน (1) เพื่อชื่นชมความมหัศจรรย์ของมรดกโลก!


เว็บ japaness.net เขียนไว้ว่า...
นครธม สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๗๒๔ - ๑๗๕๘) เป็นศิลปะแบบบายน คำว่านครธมนั้นมีความหมายว่าเมืองใหญ่ ธม แปลว่า ใหญ่ โดยมีปราสาทบายนเป็นศูนย์กลางของนครธม ในส่วนของนครธมนั้นมีจุดเด่นๆที่นักท่องเที่ยวนิยมชมกันก็คือ สะพานนาคราช ซึ่งด้านหนึ่งเป็นศิลาสลักเป็นรูปเทวดากำลังฉุดนาค ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นรูปอสูรซึ่งมีขนาดใหญ่มากกว่า ๕ เท่าคนจริงรวมกันถึง ๑๐๘ ตน เป็นสะพานที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ กษัตริย์เขมรใช้เป็นทางเสด็จผ่านเข้าออกเมืองนครธม นอกจากนี้ยังมี ประตูเมือง ที่มียอดเป็นรูปพระโพธิสัตว์หันพระพักตร์ไปทั้ง ๔ ทิศ...


ปั่นจักรยานมาอยู่กลางสะพาน...



แล้วตรงไปผ่านซุ้มประตูเมือง (3) ที่ผมเคยฝันอยากมา...



เข้าสู่อาณาเขตนครธม...ผมปั่นจักรยานไปบนถนนลาดยางไม่ถึง ๕๐๐ เมตร ก็เห็นวัดเขมรอีกวัดหนึ่ง (4) อยู่ทางด้านซ้ายมือ มีรึที่จะไม่แวะเข้าไป!


ชื่อวัดเป็นภาษาขะแมร์  ผมจนด้วยเกล้า...ไม่สามารถบอกเพื่อน ๆ ได้ว่าชือวัดอะไร?


อุโบสถโล่งเช่นนี้ผมเพิ่งเคยเห็น...


ถ่ายภาพใบเสมามาให้เพื่อน ๆ ดูด้วย...


หน้าบันเรียบง่ายแต่สวย!






นั่นคงเป็นศาลาอเนกประสงค์ ผมเห็นกุฏิสงฆ์อยู่ด้านหลัง...


มีฝรั่งนั่งตุ๊ก ๆ ผ่านไปคันแล้วคันเล่า วัดนี้มีอุโบสถและวิสุงคามสีมาที่สมบูรณ์ มิได้เป็นแค่สำนักสงฆ์หรือวัดป่า พอดี อยู่นอกสายตาจึงยังไม่มีข้อมูลในอินเทอร์เน็ต!  ผมยินดีที่ได้แวะมาครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

ปั่นจักรยานในเสียมเรียบ - วัดเหนือ นครวัด


หลังจากเที่ยวชมนครวัด (Angkor Wat) จนเต็มอิ่ม... ผมเดินออกทางประตูด้านหลัง (ทิศตะวันออก) (1)




มายืนตรงจุดที่มีต้นไม้ร่มรื่น... ผมมองเห็นภาพปราสาทสาดส่องด้วยแสงอาทิตย์ยามสาย



ผมเดินกลับไปตามถนนรอบนอกซึ่งขนานไปกับแนวรั้วด้านข้างนครวัด...





ออกมาถึงจุดซึ่งเป็นร้านค้าและบริเวณริมสระที่ผู้คนมายืนชุมนุมกันตอนเช้ามืด ....



ด้านขวามือมีวัดอยู่วัดหนึ่ง (2) ผมอยากจะเรียกชื่อว่า "วัดเหนือ" (มั่วตั้งชื่อเอาเองอีกแย้ว.. ฮา) เดินเข้าไปก็พบกับศาลาหมอชีวก (3) (หากเข้าใจผิด ก็ต้องขออภัย)


ถัดไปเป็นพระอุโบสถ (4)  รูปทรงเหมือนกับวัดเขมรอื่น ๆ




ดูเหมือนว่าใบเสมาจะไม่ยึดติดกับที่...



มีกลองสำหรับตีเรียกภิกษุมาทำสังฆกรรม...


ด้านหลังมีเจดีย์...


และสถูปมากมาย ตามสไตล์วัดเขมร...


ศาลาการเปรียญมั้ง?


อยู่ข้างพระอุโบสถ (4) คือ วิหารหลังเล็ก (5) เป็นที่ ๆ ชาวบ้านมาทำบุญและร่วมในศาสนพิธี...


วิหารโล่งกว้างครับ เข้าไปดูได้...



ห้องน้ำอยู่ตรงมุม (6) มีนักท่องเที่ยวหญิงชาวเกาหลียืนออรอกันอยู่ ค่าบริการคนละ ๑,๐๐๐ เรียล หรือเกือบ ๑๐ บาท!

ได้เวลาเดินทางต่อแล้วกั๊บ!