จากวัดย่านยาว (W1) เจ้า Banian พาตาแก่บ้านห้างฉัตรเดินทางมาบนทางหลวงหมายเลข 117 จนได้เห็นซุ้มประตูสีขาวพร้อมป้ายชื่อวัดบ้านดง (W2) ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ...
มีป้ายบอกชัดเจนว่าต้องเข้าไปอีก ๒๐๐ เมตรซึ่งไม่ไกลเกิน ชอบครับ! ดีกว่าไม่บอกอะไรเลย ถ้าต้องขี่จักรยานเข้าไปหลายกิโลเมตรแล้วย้อนกลับมาอีก ก็จะไม่คุ้มกับพลังงานและเวลาที่เสียไป
เข้าไปตามถนนราดยาง (R) สู่หมู่บ้านริมแม่น้ำน่าน ก่อนถึงสะพาน (B) ผมเห็นวัดบ้านดงตั้งอยู่ทางด้านขวามือ
หยุดถ่ายภาพเจ้าเพื่อนยากกับป้ายชื่อวัดบ้านดง
มีข้อความต้อนรับ และอวยพรล่วงหน้าขากลับให้โชคดีมีลาภ (อย่างเนี้ยไม่ค่อยได้เห็น ถูกหวยรวยโปผมไม่ต้องการ ขอเพียงเดินทางด้วยความปลอดภัยก็พอ)
วัดบ้านดง ตั้งอยู่เลขที่ ๑๒๑ หมู่ที่ ๓ ตำบลพญาแมน อำเภอพิชัย พญาแมน พิชัย อุตรดิตถ์ 53120
หอระฆังสูง ๓ ชั้น...ตั้งอยู่ใกล้วิหาร
มีเวทีคอนเสิร์ทด้วย...อิอิ
อาคาร ๓ ชั้นนั่น น่าจะเป็นศาลาการเปรียญ (?)
แต่ที่เห็นทางโน้น...เมรุเผาศพแน่ ๆ
๑๑ โมงแล้ว แสงแดดจ้า ได้เวลาพระฉันเพลซึ่งอยู่ระหว่าง ๑๑.๐๐ น. ๑๒.๐๐ น. ผมมองไปที่กุฏิสงฆ์ (เข้าใจว่า)
ให้เจ้า Banian พักยืนอยู่ใต้เงาต้นโพธิ์
ใกล้ ๆ กับรูปปั้นช้างและลิงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า...
ถ่ายรูปไว้ด้วยความสงสัย เนื่องจากด้อยในความรู้และปัญญา
กลับมาจึงต้องหาคำตอบจากพระไตรปิฎกฉบับประชาชนของ อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ
ได้ความว่า...
ภาพที่เห็นนี้เป็นภาพเหตุการณ์ตอนหนึ่งในพระประวัติของพระพุทธเจ้า เป็นตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาในป่าโดยลำพังพระองค์ ไม่มีพระภิกษุหรือใครอื่นตามเสด็จไปจำพรรษาอยู่ด้วยเลย ป่าที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาครั้งนี้เป็นป่าใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของช้างโทนเชือกหนึ่งชื่อว่า 'ปาลิไลยกะ' หรือ 'ปาลิไลยก์' ป่าแห่งนี้จึงได้นามตามช้างนี้ว่า 'ป่าปาลิไลยก์' คนไทยเราเรียกว่า 'ป่าปาเลไล' อันเดียวกันนั่นเองมูลเหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่ป่าแห่งนี้ เพราะทรงรำคาญพระภิกษุชาวเมืองโกสัมพีสองคณะพิพาทและแตกสามัคคีกัน ถึงกับไม่ยอมลงโบสถ์ร่วมกัน พระพุทธเจ้าทรงทราบเข้า ได้เสด็จมาทรงระงับให้ปรองดองกัน แต่พระภิษุทั้งสองคณะก็ไม่เชื่อฟัง พระพุทธเจ้าจึงเสด็จหลีกไปจำพรรษาอยู่ในดังกล่าว ด้วยอำนาจพุทธบารมีและพระเมตตาของพระพุทธเจ้า ช้างชื่อปาลิไลยก์ได้เข้ามาอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า เช้าขึ้นหาผลไม้ในป่ามาถวาย ตอนเย็นต้มน้ำร้อยถวายพระพุทธเจ้าด้วยวิธีกลิ้งก้อนหินที่เผาไฟให้ร้อนลงในแอ่งน้ำ
ลิงตัวหนึ่งเห็นช้างปรนนิบัติถวายพระพุทธเจ้า ก็ได้นำรวงฝึ้งมาถวายพระพุทธเจ้าบ้าง พระพุทธเจ้าทรงรับแต่ไม่ทรงฉัน ลิงจึงเข้าไปนำรวงผึ้งกลับมาพิจารณาดู เมื่อเห็นตัวอ่อนของฝึ้ง จึงนำตัวอ่อนออกหมดแล้วนำแต่ผึ้งหวานเข้าไปถวายใหม่ คราวนี้พระพุทธเจ้าทรงรับแล้วฉัน ลิงแอบดูอยู่บนต้นไม้ เห็นพระพุทธเจ้าทรงฉันรวงผึ้งของตนก็ดีใจ กระโดดโลดเต้นบนกิ่งไม้จนพลัดตกลงมาถูกตอไม้แหลมเสียบท้องทะลุตายเมื่อออกพรรษา พระภิกษุที่แตกกันเป็นสองฝ่ายยอมสามัคคีกัน เพราะชาวบ้านไม่ยอมทำบุญใส่บาตรให้ ได้ส่งผู้แทนไปกราบทูลพระพุทธเจ้าเสด็จกลับเข้าเมือง ช้างปาลิไลยก์อาลัยพระพุทธเจ้านักหนา เดินตามพระพุทธเจ้าออกจากป่า ทำท่าจะตามเข้าไปในเมืองด้วย พระพุทธเจ้าจึงทรงหันไปตรัสบอกช้างว่า "ปาลิไลยก์! ถิ่นของเธอหมดแค่นี้ แต่นี้ไปเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ ซึ่งเป็นภัยต่อสัตว์เดรัจฉานเช่นเธอ เธอไปด้วยไม่ได้หรอก"ช้างปาลิไลยก์ยืนร้องไห้เสียใจไม่กล้าเดินตามพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าลับสายตาก็เลยอกแตกตายอยู่ ณ ที่นั้น คัมภีร์บอกว่าทั้งลิงและช้างตายแล้วไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
รู้สึกไม่ชอบใจกับเศษขยะทิ้งไว้ใต้ต้นโพธิ์...
คนที่ทิ้งขยะไว้ ช่างน่าละอายเสียจริง สู้ลิงกับช้างป่ายังมิได้!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น