วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

Kampong Cherating

เกือบจะบ่ายสี่โมง…อากาศหนาวเย็นเหมือนเป็นฤดูฝนปนหนาว ร่างกายของผมยังอดทนได้ดีเหมือน “สีทนได้”   บรรยากาศอย่างเนี้ย…ถ้าได้ไปนอนพักอยู่ที่บังกะโลใน Cherating ประเทศมาเลเซีย ผมคงจะมีความสุขไม่น้อย 


บนเส้นทางจากสิงค์โปร์กลับสู่มาเมืองไทย เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๓๑ เวลาประมาณ ๙.๑๕ น. ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ค้างต่อที่ Kuantan  หลังจากอาบน้ำและปลดทุกข์ ผมก็เก็บของนำขึ้นบรรทุกบนจักรยานเพื่อนยากแล้วจูงออกไปจ่ายค่าที่พัก ๑๐ ริงกิตพร้อมกับคืนลูกกุญแจ จากนั้นก็ควบจักรยานมุ่งหน้าสู่ตัวเมือง  ไปแวะที่ธนาคาร HONG KONG AND SHIANGHAI

จอดรถไว้ข้างทางแล้วเดินเข้าไปข้างใน มีสาวสวยเข้ามาถาม ผมบอกว่าจะขอแลกเงิน เค้าให้ขึ้นไปข้างบนเพื่อแลกเงินกับหนุ่มจีนหน้าจืดคนนึง

Foreign Currency 1 AUD = 1.78 Malaysian Dollars
แลก 50 เหรียญได้มา 106.80 ริงกิต
Good rate – ไม่มี com ด้วย — so good

กลับลงมาที่จักรยาน — ยังอยู่

ไปหาอะไรกินก่อนที่ Food stall ประเดิมด้วย ABC ใส่น้ำแข็งพูน ๆ แล้วสั่งผัดหมี่หนึ่งจาน เขาใส่เนื้อให้ด้วย ผมเลือกกินแต่เส้นหมี่แล้วสั่ง ABC อีกหนึ่งถ้วย เมื่อรู้ว่าที่นี่ ABC ถ้วยละ 50 เซนต์เอง  แม่ค้าใจดีและพูดจาเป็นกันเอง!!

อิ่มแล้วผมมุ่งหน้าออกเดินทางสู่ Kuala Trengganu ปั่นไปได้สักพักเห็นร้านจักรยานอยู่ทางด้านซ้ายมือ รีบแวะเข้าไป พูดกันไม่รู้เรื่อง ผมพยายามหาคำศัพท์ที่ง่ายที่สุด ใช้คำว่า “Oil” แทน “Lubricant”  เขายังไม่รู้เรื่อง ต้องชี้ให้ดูที่ขวดน้ำมันเครื่อง จึงเข้าใจและรีบหยอดน้ำมันจักรยานให้ เมื่อเสร็จดีแล้วผมถามว่าคิดเท่าไร นายช่างทำท่าทำทางบอกว่าไม่คิดเงิน ผมจึงสมนาคุณเค้าด้วยการใช้สูบลมของทางร้านเพิ่มลมให้แก่ล้อจักรยานทั้งสองผมจนเต็ม (ฮา) แล้วกล่าวขอบคุณอย่างอ่อนน้อมต่อช่างจักรยานทั้งสองคน

ปั่นออกจาก Kuantan มุ่งสู่ Kuala Trengganu  ผ่าน Beserah

เวลาเที่ยงกว่า เห็นร้านขายผลไม้ข้างทาง จึงหยุดแวะถาม ได้ความว่า ส้มราคากิโลกรัมละ ๒ ริงกิต (๒๐ บาท) บอกว่าผลไม้ต้องรับจากประเทศไทยมาขาย  แตงโมกิโลกรัมละ ๖0 เซนต์ มีลูกนึงหนัก ๒ กิโล เขาคิดให้ ๑ เหรียญ ตกลงให้ผ่ากินเลย หวานดี  หนึ่งลูก…กินคนเดียวจนท้องกาง ได้พลังงานกลับคืนมามากโข  คนขายผลไม้เป็นชายหนุ่มมาเลย์ มีภรรยาหน้าตาสวยดี มีลูกชายสองคน (น่ารักและไม่กลัวคนแปลกหน้า) เขามีบ้านเล็ก ๆ น่าอยู่และรถยนต์หนึ่งคัน ผมถือโอกาสขออาศัยนั่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ระหว่างที่เจ้าของบ้านใช้มีดตัดแบ่งกล้วยออกเป็นหวี ๆ พอผมเอนหลังลงนอน เจ้าของบ้านก็สั่งให้ลูกชายนำเสื่อมาปูให้ทันที  ดีเหมือนกัน… ได้เสื่อก็ต้องนอนพักให้สบายซะหน่อย แต่ผมไม่ได้หลับหรอก เจ้าลูกชายคนเล็กของเขาคอยมาเล่นด้วยใกล้ ๆ

บ่ายโมง… ออกเดินทางต่อ อากาศร้อนน่าดู   Kg. S. Karang —> Kg. Balok เจอทางแยกขึ้นเขา ลำบากพอดู จากนั้นก็ลงเขา เลียบฝั่งทะเลอีกครั้ง ถึง Kg. S. Ular มีร้านอาหารอยู่เรียงราย ผมคิดว่าควรจะเติมพลังเสียก่อน จึงแวะที่ร้าน ๆ หนึ่ง คนขายหน้าตาสวยดี พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ต้องใช้การเดา  ผมดับกระหายด้วย Sprite กับน้ำแข็งเปล่าเต็มแก้ว ตามด้วยบะหมี่สำเร็จ Meggi ต้มใส่ไข่ 1 ฟอง + ผัก + กระเทียมเจียว + เครื่องปรุง และ cake อีกหนึ่งชิ้น  ใช้เวลากินและพักประมาณ ๑ ชั่วโมง ดู TV ไปด้วย (รายการเพลงป๊อปของมาเลย์ มีวีดีโอประกอบด้วย – เข้าท่าดี) ขอให้เค้าคิดเงิน พูดกันไม่รู้เรื่องอีก ต้องขอคนที่มากินที่นั่นช่วยแปลให้จึงรู้ว่าราคา ๒.๘๐ ริงกิต (Big meal!)

ออกเดินทางต่อ —> หลักกิโลเมตรที่ ๔๘ ถึง Kg. Cherating เลี้ยวรถเข้าไปพักเหนื่อยตรงที่แห่งหนึ่ง (ผิดหวังที่ไม่เจอหมู่บ้านที่น่าสนใจตามที่หนังสือกล่าวไว้)  ผมเดินทางต่อ...ตั้งใจจะให้ถึง Chukai



ประมาณ ๑๖ กิโลเมตรจะถึง Chukai ผมเห็นแผ่นป้ายเขียนว่า MAK DE มีฝรั่งนักท่องเที่ยวคนหนึ่งกำลังมาถึงพอดี  แวะเข้าไปสอบถาม ได้ความว่าค่าที่พัก ๒๐ ริงกิต พร้อมอาหารสองมื้อ ( BF + DN)  ผมตัดสินใจพักโดยไม่ลังเล  ที่พักเป็นบังกะโลหลังเล็ก ๆ มี ๒ ห้อง มีเตียงใหญ่พร้อมมุ้ง นอนได้ ๒ คน หน้าห้องมีโต๊ะตั้งไว้ด้วย


ผมล่ามจักรยานไว้กับเสาบันไดแล้วเดินไปขอน้ำดื่ม  เขาจัดชาร้อน ๆ ให้พร้อมขนม  อืมม์…ชาร้อน ๆ ใส่น้ำตาล กินกับขนม สามารถดับความกระหายและความหิวลงได้มากทีเดียว  ที่ห้องครัว ผมได้คุยกับนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันคนหนึ่ง เค้าบอกว่าอยู่ทางใต้ของประเทศไทยมา ๓ เดือน ชอบประเทศไทยมาก ๆ อยากจะกลับไปอีก

ผมขอให้เจ้าของที่พักเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนให้  จดบันทึกแล้วพักผ่อน ก่อนที่จะล็อคห้องแล้วออกเดินไปชายหาด พร้อมกับสมุด ปากกา หนังสือ + แผนที่ และผ้าขนหนู


ใส่กางเกงและเสื้อยืดตัวเดิม เดินไปด้านชายหาด พบกับเจ้าของบังกะโลอีกแห่ง คุยกันพักหนึ่ง เค้าบอกว่าหลังที่อยู่ข้างในราคาคืนละ ๓ เหรียญ แต่ไม่มีอาหารให้ ผมเดินไปถามอีกแห่งหนี่ง เขาคิด ๘ เหรียญ (ไม่มีอาหารเหมือนกัน)


ชายหาดสวยดี  คลื่นลมก็ไม่แรง ผมลงไปเล่นน้ำทะเล แช่อยู่พักใหญ่แล้วกลับขึ้นไปนั่งที่ชายหาด  ใกล้ ๆ สาวสวยคนหนึ่ง ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาจดบันทึก…


พอเวลา ๖.๑๐ น. ผมเดินกลับที่พัก เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจดบันทึกต่อ มองออกไปที่บ้านพักรอบข้าง  เห็นนักท่องเที่ยวบางคนนั่งเขียนหนังสือ บ้างก็นั่งคุยกัน…

เวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ก็มีเสียงตะโกนว่า “มากัน ๆ” แสดงว่าถึงเวลากินข้าวแล้ว เราพากันเดินลงไปที่โรงอาหาร ประเดิมด้วยน้ำสับปะรดก่อน ๒ แก้ว  อาหารมี ๕ อย่างดังนี้  ๑) ผัดแตงกวา ๒) ผัดถั่วงอก  ๓) แกงสับปะรด ๔) ปลา ๕) เนื้อ ๖) ข้าว  What a Meal!  ผมกินข้าวประมาณ ๒ จานครึ่ง ตามด้วยกล้วยไข่อีก ๕ ลูก (อิ่มแท้ ๆ)

ได้คุยกับชาวแคนาดา – อังกฤษ – และเยอรมัน ทำให้ความคิดที่จะเปิด hostel ในลำปางหรือเชียงใหม่มีมากขึ้น ระหว่างที่รอน้ำชากาแฟ ก็จดบันทึกไปพลาง ๆ กว่าชาและกาแฟจะมาถึงก็กินเวลานานโข แต่ผมก็เพลิดเพลินในการคุยกับเพื่อนนักเดินทางด้วยกัน —- Good coffee!

เดินไปหาเพื่อนนักเดินทางชาวฝรั่งเศสชื่อ Bernard Revel ที่บังกะโลข้าง ๆ คุยกันจนเกือบเที่ยงคืน และแลกเปลี่ยนที่อยู่ซึ่งกันและกัน เขาเล่าให้ฟังถึงการเดินทางในเมืองจีน – การขี่จักรยานผ่าน Turkey – การผจญภัยฝ่าฝูงหมาดุกว่า ๒๐ ตัวเมื่อขี่จักรยานไปคนเดียว – หมาพุ่งเข้ากัดแต่โดนรถชนเสียก่อน – ต้องใช้จักรยานกันหมาที่จะเข้ามากัดนานถึง ๑๕ นาทีก่อนที่จะมีคนขับรถมาไล่หมาออกไป – เขาต้องรีบปั่นหนี….

Bernard เป็นนักเล่นกล เดินทางมากับภรรยาชื่อ Lilianne และลูกชายชื่อ Siddharta ผมให้ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองไทยแก่เขาไปบ้าง คุยกันอย่างออกรสจนเกือบเที่ยงคืนถึงได้กลับเข้าห้องพัก แปรงฟันแล้วเข้านอน แต่นอนไม่หลับ คันตามแขนขา ต้องเอา Counterpain ออกมาทา นอนคิดไปต่าง ๆ นา ๆ จนฝนตก อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ

ตีสองกว่าถึงได้หลับตาลง!!…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น