วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

Kampong Cherating

เกือบจะบ่ายสี่โมง…อากาศหนาวเย็นเหมือนเป็นฤดูฝนปนหนาว ร่างกายของผมยังอดทนได้ดีเหมือน “สีทนได้”   บรรยากาศอย่างเนี้ย…ถ้าได้ไปนอนพักอยู่ที่บังกะโลใน Cherating ประเทศมาเลเซีย ผมคงจะมีความสุขไม่น้อย 


บนเส้นทางจากสิงค์โปร์กลับสู่มาเมืองไทย เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๓๑ เวลาประมาณ ๙.๑๕ น. ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ค้างต่อที่ Kuantan  หลังจากอาบน้ำและปลดทุกข์ ผมก็เก็บของนำขึ้นบรรทุกบนจักรยานเพื่อนยากแล้วจูงออกไปจ่ายค่าที่พัก ๑๐ ริงกิตพร้อมกับคืนลูกกุญแจ จากนั้นก็ควบจักรยานมุ่งหน้าสู่ตัวเมือง  ไปแวะที่ธนาคาร HONG KONG AND SHIANGHAI

จอดรถไว้ข้างทางแล้วเดินเข้าไปข้างใน มีสาวสวยเข้ามาถาม ผมบอกว่าจะขอแลกเงิน เค้าให้ขึ้นไปข้างบนเพื่อแลกเงินกับหนุ่มจีนหน้าจืดคนนึง

Foreign Currency 1 AUD = 1.78 Malaysian Dollars
แลก 50 เหรียญได้มา 106.80 ริงกิต
Good rate – ไม่มี com ด้วย — so good

กลับลงมาที่จักรยาน — ยังอยู่

ไปหาอะไรกินก่อนที่ Food stall ประเดิมด้วย ABC ใส่น้ำแข็งพูน ๆ แล้วสั่งผัดหมี่หนึ่งจาน เขาใส่เนื้อให้ด้วย ผมเลือกกินแต่เส้นหมี่แล้วสั่ง ABC อีกหนึ่งถ้วย เมื่อรู้ว่าที่นี่ ABC ถ้วยละ 50 เซนต์เอง  แม่ค้าใจดีและพูดจาเป็นกันเอง!!

อิ่มแล้วผมมุ่งหน้าออกเดินทางสู่ Kuala Trengganu ปั่นไปได้สักพักเห็นร้านจักรยานอยู่ทางด้านซ้ายมือ รีบแวะเข้าไป พูดกันไม่รู้เรื่อง ผมพยายามหาคำศัพท์ที่ง่ายที่สุด ใช้คำว่า “Oil” แทน “Lubricant”  เขายังไม่รู้เรื่อง ต้องชี้ให้ดูที่ขวดน้ำมันเครื่อง จึงเข้าใจและรีบหยอดน้ำมันจักรยานให้ เมื่อเสร็จดีแล้วผมถามว่าคิดเท่าไร นายช่างทำท่าทำทางบอกว่าไม่คิดเงิน ผมจึงสมนาคุณเค้าด้วยการใช้สูบลมของทางร้านเพิ่มลมให้แก่ล้อจักรยานทั้งสองผมจนเต็ม (ฮา) แล้วกล่าวขอบคุณอย่างอ่อนน้อมต่อช่างจักรยานทั้งสองคน

ปั่นออกจาก Kuantan มุ่งสู่ Kuala Trengganu  ผ่าน Beserah

เวลาเที่ยงกว่า เห็นร้านขายผลไม้ข้างทาง จึงหยุดแวะถาม ได้ความว่า ส้มราคากิโลกรัมละ ๒ ริงกิต (๒๐ บาท) บอกว่าผลไม้ต้องรับจากประเทศไทยมาขาย  แตงโมกิโลกรัมละ ๖0 เซนต์ มีลูกนึงหนัก ๒ กิโล เขาคิดให้ ๑ เหรียญ ตกลงให้ผ่ากินเลย หวานดี  หนึ่งลูก…กินคนเดียวจนท้องกาง ได้พลังงานกลับคืนมามากโข  คนขายผลไม้เป็นชายหนุ่มมาเลย์ มีภรรยาหน้าตาสวยดี มีลูกชายสองคน (น่ารักและไม่กลัวคนแปลกหน้า) เขามีบ้านเล็ก ๆ น่าอยู่และรถยนต์หนึ่งคัน ผมถือโอกาสขออาศัยนั่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ระหว่างที่เจ้าของบ้านใช้มีดตัดแบ่งกล้วยออกเป็นหวี ๆ พอผมเอนหลังลงนอน เจ้าของบ้านก็สั่งให้ลูกชายนำเสื่อมาปูให้ทันที  ดีเหมือนกัน… ได้เสื่อก็ต้องนอนพักให้สบายซะหน่อย แต่ผมไม่ได้หลับหรอก เจ้าลูกชายคนเล็กของเขาคอยมาเล่นด้วยใกล้ ๆ

บ่ายโมง… ออกเดินทางต่อ อากาศร้อนน่าดู   Kg. S. Karang —> Kg. Balok เจอทางแยกขึ้นเขา ลำบากพอดู จากนั้นก็ลงเขา เลียบฝั่งทะเลอีกครั้ง ถึง Kg. S. Ular มีร้านอาหารอยู่เรียงราย ผมคิดว่าควรจะเติมพลังเสียก่อน จึงแวะที่ร้าน ๆ หนึ่ง คนขายหน้าตาสวยดี พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ต้องใช้การเดา  ผมดับกระหายด้วย Sprite กับน้ำแข็งเปล่าเต็มแก้ว ตามด้วยบะหมี่สำเร็จ Meggi ต้มใส่ไข่ 1 ฟอง + ผัก + กระเทียมเจียว + เครื่องปรุง และ cake อีกหนึ่งชิ้น  ใช้เวลากินและพักประมาณ ๑ ชั่วโมง ดู TV ไปด้วย (รายการเพลงป๊อปของมาเลย์ มีวีดีโอประกอบด้วย – เข้าท่าดี) ขอให้เค้าคิดเงิน พูดกันไม่รู้เรื่องอีก ต้องขอคนที่มากินที่นั่นช่วยแปลให้จึงรู้ว่าราคา ๒.๘๐ ริงกิต (Big meal!)

ออกเดินทางต่อ —> หลักกิโลเมตรที่ ๔๘ ถึง Kg. Cherating เลี้ยวรถเข้าไปพักเหนื่อยตรงที่แห่งหนึ่ง (ผิดหวังที่ไม่เจอหมู่บ้านที่น่าสนใจตามที่หนังสือกล่าวไว้)  ผมเดินทางต่อ...ตั้งใจจะให้ถึง Chukai



ประมาณ ๑๖ กิโลเมตรจะถึง Chukai ผมเห็นแผ่นป้ายเขียนว่า MAK DE มีฝรั่งนักท่องเที่ยวคนหนึ่งกำลังมาถึงพอดี  แวะเข้าไปสอบถาม ได้ความว่าค่าที่พัก ๒๐ ริงกิต พร้อมอาหารสองมื้อ ( BF + DN)  ผมตัดสินใจพักโดยไม่ลังเล  ที่พักเป็นบังกะโลหลังเล็ก ๆ มี ๒ ห้อง มีเตียงใหญ่พร้อมมุ้ง นอนได้ ๒ คน หน้าห้องมีโต๊ะตั้งไว้ด้วย


ผมล่ามจักรยานไว้กับเสาบันไดแล้วเดินไปขอน้ำดื่ม  เขาจัดชาร้อน ๆ ให้พร้อมขนม  อืมม์…ชาร้อน ๆ ใส่น้ำตาล กินกับขนม สามารถดับความกระหายและความหิวลงได้มากทีเดียว  ที่ห้องครัว ผมได้คุยกับนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันคนหนึ่ง เค้าบอกว่าอยู่ทางใต้ของประเทศไทยมา ๓ เดือน ชอบประเทศไทยมาก ๆ อยากจะกลับไปอีก

ผมขอให้เจ้าของที่พักเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนให้  จดบันทึกแล้วพักผ่อน ก่อนที่จะล็อคห้องแล้วออกเดินไปชายหาด พร้อมกับสมุด ปากกา หนังสือ + แผนที่ และผ้าขนหนู


ใส่กางเกงและเสื้อยืดตัวเดิม เดินไปด้านชายหาด พบกับเจ้าของบังกะโลอีกแห่ง คุยกันพักหนึ่ง เค้าบอกว่าหลังที่อยู่ข้างในราคาคืนละ ๓ เหรียญ แต่ไม่มีอาหารให้ ผมเดินไปถามอีกแห่งหนี่ง เขาคิด ๘ เหรียญ (ไม่มีอาหารเหมือนกัน)


ชายหาดสวยดี  คลื่นลมก็ไม่แรง ผมลงไปเล่นน้ำทะเล แช่อยู่พักใหญ่แล้วกลับขึ้นไปนั่งที่ชายหาด  ใกล้ ๆ สาวสวยคนหนึ่ง ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาจดบันทึก…


พอเวลา ๖.๑๐ น. ผมเดินกลับที่พัก เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจดบันทึกต่อ มองออกไปที่บ้านพักรอบข้าง  เห็นนักท่องเที่ยวบางคนนั่งเขียนหนังสือ บ้างก็นั่งคุยกัน…

เวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ก็มีเสียงตะโกนว่า “มากัน ๆ” แสดงว่าถึงเวลากินข้าวแล้ว เราพากันเดินลงไปที่โรงอาหาร ประเดิมด้วยน้ำสับปะรดก่อน ๒ แก้ว  อาหารมี ๕ อย่างดังนี้  ๑) ผัดแตงกวา ๒) ผัดถั่วงอก  ๓) แกงสับปะรด ๔) ปลา ๕) เนื้อ ๖) ข้าว  What a Meal!  ผมกินข้าวประมาณ ๒ จานครึ่ง ตามด้วยกล้วยไข่อีก ๕ ลูก (อิ่มแท้ ๆ)

ได้คุยกับชาวแคนาดา – อังกฤษ – และเยอรมัน ทำให้ความคิดที่จะเปิด hostel ในลำปางหรือเชียงใหม่มีมากขึ้น ระหว่างที่รอน้ำชากาแฟ ก็จดบันทึกไปพลาง ๆ กว่าชาและกาแฟจะมาถึงก็กินเวลานานโข แต่ผมก็เพลิดเพลินในการคุยกับเพื่อนนักเดินทางด้วยกัน —- Good coffee!

เดินไปหาเพื่อนนักเดินทางชาวฝรั่งเศสชื่อ Bernard Revel ที่บังกะโลข้าง ๆ คุยกันจนเกือบเที่ยงคืน และแลกเปลี่ยนที่อยู่ซึ่งกันและกัน เขาเล่าให้ฟังถึงการเดินทางในเมืองจีน – การขี่จักรยานผ่าน Turkey – การผจญภัยฝ่าฝูงหมาดุกว่า ๒๐ ตัวเมื่อขี่จักรยานไปคนเดียว – หมาพุ่งเข้ากัดแต่โดนรถชนเสียก่อน – ต้องใช้จักรยานกันหมาที่จะเข้ามากัดนานถึง ๑๕ นาทีก่อนที่จะมีคนขับรถมาไล่หมาออกไป – เขาต้องรีบปั่นหนี….

Bernard เป็นนักเล่นกล เดินทางมากับภรรยาชื่อ Lilianne และลูกชายชื่อ Siddharta ผมให้ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองไทยแก่เขาไปบ้าง คุยกันอย่างออกรสจนเกือบเที่ยงคืนถึงได้กลับเข้าห้องพัก แปรงฟันแล้วเข้านอน แต่นอนไม่หลับ คันตามแขนขา ต้องเอา Counterpain ออกมาทา นอนคิดไปต่าง ๆ นา ๆ จนฝนตก อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ

ตีสองกว่าถึงได้หลับตาลง!!…

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

Ferry from Penang

วันก่อนโน้นเขียนเรื่อง Ferry to Penang ผมมีภาพประกอบไม่มาก เพราะผมเดินทางไปถึงที่ท่าเรือฝั่ง Butterworth ก็สองทุ่มกว่าแล้ว วันนี้ผมอยากจะเขียนต่ออีกนิด พร้อมกับภาพประกอบซึ่งได้ถ่ายไว้ขณะที่นั่งเรื่อข้ามฟากจาก George Town ไปยัง Butterworth…

วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๐.๐๘ น. ผมบันทึกว่า “สาวอียิปต์ยังพักอยู่ต่อ…” เพื่อน ๆ ไม่ต้องสงสัยนะครับ ที่พักประเภทห้องรวม ราคาประหยัดส่วนใหญ่เค้าให้พักรวมกันทั้งผู้หญิงผู้ชาย อย่างใน KL ห้องเล็ก มีเตียงแบบสองชั้น ๔ เตียง ผมได้นอนชั้นล่าง ทางหัวนอนเป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นอายุ ๖๐ กว่าแต่ยังแข็งแรง ส่วนที่นอนอยู่ข้างบนเป็นสาวจากอังกฤษ เวลาเค้าปีนขึ้นนอน เตียงโยกเยกเหมือนกับเรือโดนคลื่นซัด สำหรับ hostel ที่ผมพักในปีนัง ก็มีเตียงสองชั้น ๔ เตียงเช่นกัน เพียงแต่ว่าช่วงที่ผมไปพักมี hosteller แค่ ๓ คน แต่ละคนเลือกนอนชั้นล่าง สบายไป ไม่มีใครอายกันหรอกครับ…

ผมกำลังจะเดินทางออกจากเกาะปีนัง เพื่อขึ้นรถไฟจาก Butterworth ไปลงที่สถานีหัวลำโพง ซื้อตั๋วไว้เรียบร้อยแล้วครับ ก่อนออกจาก hostel ได้อ่านหนังสือพิมพ์ ผมบันทึกไว้ว่า “ได้ข่าวว่ากลุ่มเสื้อแดงยุติการ ชุมนุม – เดินทางกลับบ้านแล้ว ทุกอย่างกำลังเข้าสู่ภาวะปกติ….จึงไม่น่าเป็นห่วงเรื่องการเดินทางกลับบ้าน….”

ผมเดินแบกเป้ออกจากที่พัก อาการเจ็บหัวเข่าเริ่มทุเลาลง เดินเขยก ๆ ไปตามถนนมุ่งสู่ท่าเรือ ได้ยินเสียงหวูดเรือดัง “ปู้น ๆ” ผมไม่รีบร้อนเพราะทราบเวลาดี เดินไปร้านอาหารที่เคยไปกินเมื่อวันก่อนเห็นมีคนเยอะ จึงเปลี่ยนไปอีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่ติดกัน สั่ง nasir gorang เค้าบอกว่าไม่มี จึงสั่ง nasir ayam ตามที่เห็นในป้าย พอคนขายยกมาให้ ก็เห็นว่ามันคือ “ข้าวมันไก่” บ้านเรานั่นเอง มีแตงกวา น้ำจิ้ม และซุปร้อน ๆ ให้ด้วย ผมไม่กินเนื้อไก่ จึงได้คว้าเอาไข่ต้มที่วางอยู่บนโต๊ะมากิน ๑ ลูก  คนขายถามว่าดื่มอะไร ผมสั่ง Teh O Padas (ชาดำร้อน)  มื้อนั้นผมจ่าย $5.80 หรือเท่ากับประมาณ ๖๐ บาท

อิ่มแล้ว ผมแบกเป้ออกเดินทางต่อ  หยุดถ่ายรูปนกที่จับอยู่บนหลังคาทางขึ้น overpass ก่อนหนึ่งบาน…


เดินผ่านร้านค้าซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ ในขณะที่มุ่งหน้าไปลงเรือ


เดินไปเรื่อย ๆ ครับ….


MASUK แปลว่า “ทางเข้า” หรือ “enter” ครับ เราจะเห็นได้ตามสถานที่ต่าง ๆ


Backpacker คนที่เดินอยู่ข้างหน้าผม คงจะหนักน่าดูนิ ผู้หญิงนะนั่น!!


ผมมองลงไปข้างล่าง เห็นรถที่กำลังเคลื่อนตัวไปลงเรือข้ามฟาก…


นั่นไง ถึงทางเดินช่วงสุดท้ายแล้ว ไฟเขียวแสดงว่าเดินไปลงเรือได้  ขากลับไม่ต้องจ่ายตังค์นะครับ


ด้านขวามือ…ผมเห็นเรืออีกลำหนึ่งจอดเทียบท่าอยู่  หยุดถ่ายภาพไว้อีกบานนึง…


เอ้า….เดินลงไปได้ครึ่งทาง หยุดถ่ายรูปไว้อีก


เก็บภาพที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ….


กล้องราคาพันกว่าบาทสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม…คุ้มจริง ๆ ครับ


ถ่ายรูปไป ใจก็นึกว่าคงจะได้กลับมายืนดูภาพอย่างนี้อีก ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ตราบใดที่ยังมีฝันของนักเดินทาง…


ลงเรือแล้ว… แต่ต้องรอให้ถึงเวลาก่อน


มีเวลาให้ผมถ่ายภาพได้อีกหลายบาน…


ถ่ายแม้แต่ถังขยะ ผมชอบถ่ายเป็นประจำอยู่แล้ว ไปที่ไหนก็มองหาแต่ถังขยะ อิอิ


ส้วมก็เช่นกัน เป็นสถานที่ผมชอบถ่าย(ภาพ)อยู่เสมอ…


เรือเคลื่อนตัวออกจากท่าเมื่อเวลา ๑๒.๓๗ น.


ลาก่อนเกาะปีนังที่รัก แล้วจะกลับไปเยี่ยมเยียนอีกนะ….

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

Ferry to Penang


ใน One of those days ผมเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องเรือข้ามฟากไปเกาะปีนัง (Ferry to Penang) ไว้ว่า…
ผมเกิดที่ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอภาษีเจริญ ฝั่งธนฯ แม่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ยังเล็กมาก ๆ ผมเคยตกน้ำในคลองบางแวก แต่แม่คว้าตัวไว้ได้ทัน นับเป็นอุบัติเหตุทางน้ำครั้งแรกในชีวิตของผม!
ผมได้เข้าเรียนชั้นประถม 1-2 ที่โรงเรียนประสาทวิทยาอนุชน (สามแยกท่าพระ) พ่อแม่ซึ่งอพยพไปทำมาหากินที่เชียงใหม่ได้ฝากให้ผมอาศัยอยู่กับน้าชาย ซึ่งมีบ้านไม้สองชั้นเก่า ๆ อยู่ในสวน จากบ้านนั้น.. ถ้าข้ามท้องร่องแล้วเดินลัดเลาะออกไปจนถึงท่าเรือข้ามฟาก ก็จะสามารถข้ามไปถึงตลาดพลู แล้วยังเดินทะลุไปได้ถึงถนนเทอดไทย อย่างไรก็ตาม… ผมยังเด็กเกินกว่าที่จะจำอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราว คงมีบางเหตุการณ์เท่านั้นที่ยังจำได้ อย่างเช่น คืนที่เกิดไฟไหม้ตลาดพลู ซึ่งทำให้ผมเกิดความกลัวอย่างที่สุด!
เกี่ยวกับน้ำ… ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าว่ายน้ำเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ยังจำได้ถึงภาพที่เคยกระโดดน้ำตูม ๆ ว่ายไปเกาะท้ายเรือพ่วง ภาพหมาเน่าลอยมาจนผมต้องพุ่งตัวหลบแทบไม่ทัน ภาพเรือหางยาวแผดเสียงดัง วิ่งฉิว กรีดน้ำกระจาย ส่งคลื่นไปทำให้เรือลำน้อยของพระภิกษุซึ่งกำลังพายเข้าเทียบท่าโคลงเคลง อย่างน่ากลัว หรือแม้กระทั่งภาพความอ้อยอิ่งของเรือสินค้าที่ลอยลำอยู่บนผิวน้ำ  มันเป็นภาพในอดีตที่บอกว่าผมคือ “ลูกน้ำคลอง”
ผมไม่เคยรู้สึกกลัวเลยที่จะลงเรือ จำได้ว่าคืนหนึ่งผมกับเพื่อนคนหนึ่งลงเรือหางยาวเพื่อจะไปเยี่ยมหลวงพ่อและ อาที่วัดนก (ใกล้กับพาณิชย์ธนฯ) ระหว่างที่เรือวิ่งข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ฝ่าความมืดไปตามลำคลอง ผมสังเกตเห็นสีหน้าและความความเงียบงันของเพื่อนแล้ว ยังอดแปลกใจไม่ได้ พอได้ทราบทีหลังว่าว่ายน้ำไม่เป็น ผมจึงได้ถึงบางอ้อ รู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนต้องเสียว…
ต่างกับผม.. เพราะยามใดก็ตามที่มีโอกาสได้โดยสารเรือ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ผมจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ไม่กลัวภัยอันตรายซึ่งแฝงกายอยู่ข้างใต้นั้นเลย อย่างเช่นเมื่อครั้งที่ผมเดินทางพร้อมจักรยาน(เจ้าอามุย)ด้วยเรือข้ามฟากไปยังเกาะปีนัง เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๐
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๘  มาเลเซียได้เปิดใช้สะพาน Penang Bridge เชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินใหญ่กับเกาะปีนัง ด้วยความยาว ๑๓.๕ กิโลเมตร เค้าบอกว่าเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยาวเป็นอันดับสามของโลก ผมก็เพียงแค่ได้เห็น แต่ไม่มีโอกาสได้ข้าม ตัวเองพร้อมกับจักรยานต้องใช้บริการเรือ ferry ข้ามจากฝั่ง Butterworth ไปยังเกาะปีนังหรือ Grorge Town แม้จะเคยมีประสบการณ์นั่งเรือโดยสารขนาดใหญ่จากกรีซไปยังอิตาลี หรือนั่งอยู่บนรถโดยสารซึ่งวิ่งลงไปอยู่บนเรือที่จะไปยัง Dover ประเทศอังกฤษ กับรถยนต์มากมายทั้งเล็กและใหญ่ที่วิ่งลงไปอยู่บนเรือ ผมรู้สึกเฉย ๆ แต่วันนั้นพอได้จูงจักรยานลงเรือข้ามไปยังเกาะปีนัง ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจสุด ๆ
ค่าเรือ…ผมจำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่ แต่ไม่แพงหรอก ขาไปต้องจ่าย ขากลับไม่ต้อง น่าเสียดายที่ระหว่างแล่นเรือผมต้องอยู่กับจักรยานเพื่อนยาก ไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปนั่งกินลมอยู่ชั้นบน ดูรูปสิครับ น่าตื่นเต้นดีออก…..
การเดินทางครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๐ หลังจากนั้นอีก ๒๒ ปี…ผมถึงได้มีโอกาสนั่งเรือข้ามฟากไปเกาะปีนังอีกครั้ง…


วัน ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ ผมเดินทางออกจากสิงคโปร์ด้วยรถไฟตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๕ น. ถึงสถานี Central KL เวลา ๑๕.๒๐ น.  แต่ผมไม่ได้ลงที่ KL เพราะเคยอยู่เที่ยวมาแล้ว ๓ วัน ผมนั่งรถต่อไปยังสถานีปลายทางคือ Butterworth   เวลา ๑๘.๒๑ น. ถึงสถานี Ipoh ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว มีคนลงมากมายจนโบกี้ที่ผมนั่งมีผู้โดยสารเหลือแค่ ๕ คน เห็นสองข้างทางแล้ว..ผมคิดถึงตอนที่ปั่นจักรยานผ่านเมือง Ipoh


จาก Ipoh รถไปถึงสถานี Kuala Kangar เวลา ๑๙.๐๗ น. ผมบันทึกว่า “ฟ้าแดงแล้ว..เหลืออยู่แค่ ๒ คนในตู้…อากาศหนาวจนคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าต้องเอาเสื้อหนาวมาใส่ รถไฟทำท่าว่าจะจอดแต่ไม่จอด วิ่งต่อไป  มองออกไปข้างนอกไม่เห็นอะไรแล้ว นอกจากแสงไฟฟ้าเป็นจุด ๆ…”



ถึง Butterworth ตรงเวลา ผมลงจากรถไฟแล้วเดินตามขบวนผู้โดยสารไปยังท่าเรือข้ามฟาก เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงทางผ่านซึ่งมีเครื่องเก็บค่าโดยสารตั้งอยู่ พอหยอดเงินจำนวน ๑.๒๐ เหรีียญลงไปก็จะสามารถเดินผ่านที่กั้นไปได้

ผู้โดยสารกำลังรอลงเรือ...

ที่นั่งบน Ferry to Penang
ขณะนั้นมืดแล้ว…ระหว่างที่เรือกำลังมุ่งหน้าสู่ George Town ผมเห็นแต่เพียงแสงไฟที่อยู่ไกล ๆ



นั่นคือประสบการณ์บน Ferry to Penang ครั้งที่สองของผม…