"เหลืออีกขั้นตอนเดียวคือปั่นจักรยานขึ้นสู่วัดพระธาตุดอยคู่แก้ว" ผมคิดในใจ!
หลังจากปั่นจักรยานจากวัดทุ่งหลวง (1) ขึ้นมาถึงอ่างเก็บน้ำห้วยเกี๋ยง ผมพาสหัสเดชมาหยุดตรงปลายทางซึ่งมีถังขยะและศาลาพักร้อนตั้งอยู่ (2)
มองไปทางขวามือเห็นเส้นทางขึ้นวัดพระธาตุดอยคู่แก้ว ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วกดเท้าลงบนบันได ขับเคลื่อนจักรยานคู่ใจให้พุ่งขึ้นไปบนถนนคอนกรีตที่เห็น...
แค่นิดเดียวเอง ถนนเบื้องหน้าก็กลายเป็นลูกรังขรุขระแลสูงชัน...
สหัสเดชไม่ย่อท้อ ล้อ 700C สีแดงบดไปบนพื้นผิวที่โรยด้วยก้อนหินหลากหลายขนาด บางจุดมีร่องลึกขวางกั้น...
ขึ้นมาได้สักพัก ก็เห็นถนนราดยางให้ดีใจ...
อีกแค่ไม่กี่อึดใจก็กลายเป็นดินอีกเช่นเดิม...แถมชันกว่าเดิม
ผมรู้ว่าอีกนิดเดียวเอง สหัสเดชทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ต้องให้ลงจูง และไม่พาผมตกเขา!
ถนนเรียบและกว้างขึ้น มองดูก็รู้ว่าใกล้ถึงจุดหมายแล้ว...
ถึงแล้วจ้า (3)...
เสียงหมาเห่าระงม ผมมองกุฏิท่านเจ้าอาวาสเป็นเป้าหมายแรก ต้องรีบไปหาเพื่อกราบนมัสการและขออนุญาตพักแรม!!
ผมเห็นภิกษุยืนอยู่ รีบพิงรถจักรยานไว้แล้วเดินเข้าไปหา....
รู้สึกเจ็บแป๊ปที่ใกล้ตาตุ่มขาขวา หันไปดูเห็นหมาสีน้ำตาลวิ่งหนีไป ผมรู้ตัวว่าโดนกัดเข้าแล้ว (เป็นครั้งที่สองในชีวิตการเดินทางท่องโลก ครั้งแรกที่หน้าวัดเลไลยก์ สุพรรณบุรี)
(หุยฮา) มาเจอ jackpot เข้าจนได้เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง เป็นเพราะไม่ระวังตัว มัวแต่มุ่งเข้าพบท่านเจ้าอาวาส ผู้ที่เข้ามากัดคือหมาแม่ลูกอ่อนซึ่งหวงลูก ส่วนสุนัขตัวอื่นได้แต่ยืนมอง เห็นรอยเขี้ยวเจาะเข้าเนื้อนิดเดียวเอง ไม่เป็นไร!!
ต้องเจ็บตัวก่อนที่จะดีใจเมื่อท่านเจ้าอาวาสอนุญาตให้ค้างแรมที่วัด!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น