สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ โดยเจ้าราชวงศ์ (ก่ำ) ถึงวันนี้ก็อายุกว่า ๒๐๐ ปี วัดกลางมีสถานที่ ๆ มีชื่อเสียง ๒ จุดคือ วิหารพระเจ้าใหญ่ "พระบทม์" และอุโบสถทรงทันสมัย...
ถาวรวัตถุถูกสร้างขึ้นใหม่ทดแทนของเก่า แล้วยังนำเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาใช้ ที่วิหารพระเจ้าใหญ่...ผมเห็นป้ายไฟอักษรวิ่งอีเลคทรอนิคส์บอกทั้งภาษาอังกฤษ ไทย จีน เวียดนาม!! รูปแบบในการก่อสร้างก็ดูแหวกแนวออกไป....
เพื่อประดิษฐาน "พระเจ้าใหญ่ศรีสรรเพ็ชร" หรือ "พระบทม์" พระพุทธปฏิมากรที่สำคัญล้ำค่าที่สุดของวัด...
ประวัติพระเจ้าใหญ่พระบทม์ โดยสังเขปพระบทม์เรียกตามภาษาราชการว่า "พระเจ้าใหญ่ศรีสรรเพ็ชร" พระประธานในวิหารเก่าแก่มาตั้งแต่สร้างวัด เมื่อ จ.ศ.๑๑๕๕ (พ.ศ.๒๓๓๖) เป็นพระพุทธปฏิมากรที่สำคัญล้ำค่าที่สุดของวัดกลาง ชาวเมืองอุบลฯ รุ่นเก่าสมัย ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด เรียกว่า "พระบทม์" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่งดงามมากองค์หนึ่ง ซึ่งมีพุทธลักษณะอย่างเดียวกันกับพระเหลาเทพนิมิตบ้านพนา อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ คนรุ่นเก่าเล่าสืบทอดกันมาว่า พระบทม์ พระพุทธรูปองค์นี้สร้างด้วยอิฐดินเหนียวผสมเกสรดอกบัวและว่านจำปาศักดิ์ป่นละเอียดอธิษฐานก่อปั้นเป็นองค์พระบทม์ (ไม่มีเหล็กเสริมภายใน) แล้วใช้เกสรดอกบัวป่นละเอียดคลุกเคล้ากับยางบง น้ำแช่เปือกเม็ก น้ำข้าวจ้าวต้มเคี่ยว หินเผาไฟป่นให้ละเอียด น้ำอ้อยเคี่ยวให้เหนียว ผสมเป็นเนื้อเดียวกันดีแล้วใช้ฉาบทาให้เป็นผิวของพระบทม์ ด้วยกรรมวิธีแบบโบราณที่เรียกขานกันว่า "ปูนน้ำอ้อย"เสร็จแล้วก็ขึ้นบันไดไปนมัสการด้วยกัน...
พระบทม์ ขนาดหน้าตักกว้าง ๗๘ นิ้ว (๑.๙๘ ม.) สูง ๑๐๔ นิ้ว (๒.๗๕ ม.) เป็นพระพุทธรูปที่มี คุณความศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ของเมืองอุบลฯ องค์หนึ่ง คำว่า "พระบทม์" มาจากคำว่า "ปทุมํ-ปทม-บทม์" หมายถึงพระดอกบัว ได้แก่ บัวหลวง มีสีแดง กลิ่นหอม เป็นพระพุทธรูปที่ประสาทพรเกื้อกูลให้เกิดความสำเร็จตามแรงแห่งสัจจาธิษฐานปรารถนา รุ่นเก่าสมัย ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด เมื่อได้ประสบพบเห็นสิ่งที่หมดจดสดสวยงดงามมีสง่าแล้ว ชอบอุทานเปรียบเทียบขึ้นมาว่า "จั่งแม่นงามปานพระบทม์ แถ่นอ" จนติดปาก
เก็บภาพภายในวิหารอีกหน่อย...
จากนั้นก็ไปที่พระอุโบสถทรงทันสมัย ใบเสมาทำด้วยหินอ่อน...
หากมีไม้กางเขนอยู่ข้างบนและไม่เห็นสิงห์คู่ ดูแล้วอาจเข้าใจผิด คิดว่าเป็นโบสถ์คริสต์...
เปลี่ยนรูปแบบซะบ้างก็ดีเหมือนกัน!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น