สำหรับผมแล้วทุกวันนี้เชียงใหม่ได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวไปแล้วอย่างเต็มรูปแบบ...
อาศัยอยู่เมืองนี้มาตั้งแต่ยังไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า ยามาฮ่า ของญี่ปุ่นเข้ามาวิ่ง มีแต่รถมาจากยุโรป อย่างเช่นรถยี่ห้อ Puch จากประเทศออสเตรีย ที่เคยขี่โดยเติมน้ำมันเบนซินลิตรละ ๑.๒๕ - ๒.๐๐ บาท (
On The Roads - Again - 2009) หรือยืมรถ Lambretta จากพี่อู๊ดควบไปพระธาตุจอมทองคนเดียว จนเดินทางมาถึงบั้นปลายของชีวิต ผมกลับมานครเชียงใหม่อีกครั้ง ได้เห็นการจราจรที่มีรถวิ่งรอบคูเมืองเป็นเส้นเป็นสายจนบางช่วงแทบจูงจักรยานข้ามถนนไม่ได้ หรือไปที่ไหนก็พบแต่นักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่ ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง คิดในใจว่าแต่ละแห่งที่เหยียบย่างเข้าไปคงเป็นการเยือนครั้งสุดท้ายของผมอย่างแน่นอน...
จากวัดควรค่าม้า (1) ผมปั่นจักรยานอีกนิดเดียวก็ได้เห็นวัดราชมณเฑียร (2)
วัดนี้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๔ เป็นวัดแรกที่พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์สมัยราชวงศ์มังรายทรงสร้างขึ้น ต่อมาอาณาจักรล้านนาล่มสลายตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานกว่า ๒๐๐ ปี ก็ถูกปล่อยให้รกร้างอยู่ในสภาพทรุดโทรม จนกระทั่งเมื่อพระเจ้ากาวิละได้กอบกู้เอกราชของแคว้นล้านนาคืนมา จึงได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่จนกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง...
ถาวรวัตถุที่เป็นจุดเด่นของวัดนี้คือ
"วิหายลายคำ" สถาปัตยกรรมไทยล้านนาสองชั้น ตัวอาคารประดับด้วยลวดลาย ปูนปั้น และลายคำ ชั้นล่างเป็นสถานที่ทำบุญของพุทธศาสนิกชน ส่วนชั้นบนเป็นสถานที่ทำสังฆกรรมของพระภิกษุและสามเณร ประดิษฐาน
"พระพุทธราชมณเฑียร" พระพุทธรูปหินทรายงดงามยิ่ง ส่วนซุ้มประตูหน้าก็ประดับด้วยลวดลายปูนปั้นและกระจกแก้วอังวะติดทองคำเปลว....
ที่มา - http://templeofchiangmai.weebly.com
ผมนำจักรยานเข้าไปจอดแอบไว้ข้างวิหาร...
มองเห็นอาคารอยู่ทางด้านทิศใต้...
เดินเข้าไปใกล้ ๆ จึงรู้ว่าเป็น
"กุฏิสงฆ์" นับว่าใหญ่และงดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา!!
แสงแดดยามเช้ายังคงอบอุ่น ไม่ร้อนแรงจนทำให้ผมต้องเร่งรีบ บรรยากาศอย่างเนี้ยมองอะไรก็สวยไปหมด...
"หอเสื้อวัด" ที่เห็นก็งดงามที่สุดด้วยเช่นกัน!
ไปสำรวจ "วิหารลายคำ" กันต่อนะครับ!