วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

รถไฟไปสุพรรณบุรียังมีมั้ย?


สิบปีที่แล้ว... ผมนั่งรถไฟขบวนรถบริการสังคม 355 จากสถานีหัวลำโพงไปสุพรรณบุรี

 
ค่าโดยสาร 0 บาท ใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชั่วโมง...ผ่านสถานีย่อยกว่า 20 สถานี


เดินทางตั้งแต่ท้องฟ้ายังสว่างจนสิ้นแสง...ถึงสถานีสุพรรณบุรีสองทุ่ม เหลือผมคนเดียวในตู้รถ
 

มาวันนี้ผมก็ยังคิดถึงสุพรรณบุรีอยู่นะ อยากจะนั่งรถไฟกับเจ้า Banian ไปเยี่ยมพระพี่ชายอีกสักครั้ง  ผมค้นหาข้อมูลได้คำตอบว่าทุกวันนี้ยังมีรถไฟไปสุพรรณบุรีอยู่ วิ่งจากสถานีกรุงเทพฯ เวลา 16.40 น. ถึงสถานีสุพรรณบุรีเวลา 20.12 น.

ภาพจาก www.railway.co.th - ขอขอบคุณ

ภาพจาก www.railway.co.th - ขอขอบคุณ

ภาพจาก www.railway.co.th - ขอขอบคุณ

แต่ก็น่าเสียดายที่มีเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้นที่รถบริการสังคม 355 ขบวนนี้จะวิ่งต่อจากสถานีชุมทางหนองปลาดุกไปจนถึงสถานีสุพรรณบุรี

ภาพจาก www.railway.co.th - ขอขอบคุณ

แค่วันเดียวในแต่ละสัปดาห์...ก็ยังดีที่มีอยู่

คิดถึงบางแสน

ชคดีที่ค้นเจอรูป "เจ้าอามุย" จอดพิงป้ายยินดีต้อนรับของสุขาภิบาลแสนสุข!!...

 
ตอนนั้นเมืองที่ผมไปยังมีฐานะเป็นแค่สุขาภิบาลแสนสุข ได้ยกฐานะขึ้นเป็นเทศบาลตำบลแสนสุขเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2531 และเป็นเทศบาลเมืองแสนสุขเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2544  
 
 

เจ้าอามุยคือจักรยานเสือหมอบประกอบโดยร้านชัยธวัช เชียงใหม่ ผมจำไม่ได้แล้วว่าปั่นจากกรุงเทพไปบางแสนเมื่อไหร่?  ภาพขาวดำบ่งบอกว่านานมากกกก...น่าจะมากกว่า 4 ทศวรรษ? วันนั้นผมหยุดพักอยู่ใต้สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง...

ถ่ายด้วยกล้อง Rollei 35 ซึ่งฝากนักศึกษาดุริยศิลป์รุ่นน้องซื้อมาจากฮ่องกง (ราคา 3,000 บาท)

ปั่นถึงบางแสนก็เย็นแล้ว ผมอาศัยนอนค้างคืนบนชายหาด วันรุ่งขึ้นถึงได้ไปแวะชมพิพิธภัณฑ์และสถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม มศว. บางแสน ซื้อหนังสือปั่นจักรยานไปอเมริกาของประทุม ม่วงมีไว้ด้วยหนึ่งเล่ม....

 
ผมปั่นจักรยานกลับไปขออาศัยนอนที่บ้านเพื่อน (อยู่พระโขนง) เหนื่อยมาก...ดื่มสไปร์ทที่เพื่อนนำมาให้หมดขวดใหญ่เลย!!!
 
 
นอนหาดบางแสนมิใช่ครั้งแรก...ก่อนหน้านั้นเคยไปมาแล้วตอนต้อนรับน้องใหม่อีเล็คทรอนิคส์ วทก. (ปี 2513) 

คงไม่มีโอกาสกลับไปเยือนบางแสนอีกแล้วล่ะ!!

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ภาพสะดุดตาวัดน้ำล้อมสิงห์ไชย จ.ลำปาง

าพสะดุดตาภาษาประกิตเรียกว่า "Eye-catching image"    

ที่วัดน้ำล้อมสิงห์ไชย จังหวัดลำปาง ภาพสะดุดตาผมคิดว่าน่าจะเป็นสิงห์ขนาดใหญ่ที่นั่งเรียงกันแหงนหน้าทักทายผู้คนที่สัญจรไปมา...

อยู่ใกล้กับทางโค้งซะด้วย เห็นแล้วรู้สึกเมื่อยคอแทน!

เพื่อน ๆ มีโอกาสก็แวะไปทักทายท่านสิงห์บ้างนะ!

วิหารวัดน้ำล้อมสิงห์ไชย จ.ลำปาง

วิหารวัดน้ำล้อมสิงห์ไชย (7) สร้างใหม่งดงามยิ่ง หันหน้าไปทางประตูโขงด้านทิศตะวันออก (1)


 

หลังคาลดชั้น ๒ ระดับพร้อมช่อฟ้าใบระกาและหางหงส์ที่อ่อนช้อยสวยงาม


ตรงกลางประดับด้วยเรือสุพรรณหงส์พร้อมฉัตร ๓ ยอด...




บันไดมกรคายนาคนำทางขึ้นสู่มุขหน้า... 

 

ที่ดูจะล้ำหน้ากว่าใคร น่าจะเป็นพรมแดงที่เห็น (?)...


ปูไว้ให้ตรงกลาง ตาแก่บ้านห้างฉัตรไม่กล้าเหยียบ ขอแค่เดินข้าง ๆ มือเกาะราวบันไดให้คนแก่..


เก็บภาพมาฝากเพื่อน ๆ แล้วดังนี้...



 

ด้านข้างมี ๗ หน้าต่าง...


 

มีบันไดมกรคายนาคขึ้นสู่ระเบียงหลังวิหาร...

ด้านหลังวิหารก็สวยไม่แพ้ด้านหน้า!!



ผนังตรงกลางตกแต่งไว้งดงาม.... ขนาบด้วยประตูอยู่ซ้ายขวา


สร้างวิหารได้ใหญ่เพราะความร่วมใจของศรัทธาญาติโยม...จริง ๆ ด้วย!

อุโบสถวัดน้ำล้อมสิงห์ไชย จ.ลำปาง


อุโบสถวัดน้ำล้อมสิงห์ไชย (6) มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับวิหาร (7)
 
 
ที่ผมชื่นชอบคือลวดลายวิจิตรของช่อฟ้าใบระกาหางหงส์และหน้าบัน ผสมผสานอยู่ในความเก่าแก่กว่าครึ่งศตวรรษ เก็บภาพมาฝากเพื่อน ๆ แล้วดังนี้...
 
 
 
 

 
 
 
บันไดมกรคายนาคนำทางขึ้นสู่มุขหน้า...
 
 




 
หลังคาลดชั้น ๒ ระดับ ยอดฉัตรกลางเรือสุพรรณหงส์ส่งประกายงดงาม...

 
 
 
 
ด้านข้างมี ๓ หน้าต่าง มีประตูหน้าเพียงหนึ่งเดียว...

 


อ่อ...ต้องไม่ลืมเก็บภาพใบเสมา!



ไม่ค่อยชอบใจที่มีแผงโซล่าเซลล์ตั้งอยู่ เพราะดูว่ามันไม่จำเป็น